เป็นที่ทราบกันดีว่าขบวนการตาลิบันผู้เคร่งศาสนาอิสลามแบบสุดโต่ง ได้เข้ายึดอำนาจและทำการปกครองอัฟกานิสถานในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยแทบจะไร้การต่อต้านจากฝ่ายกองทัพรัฐบาลอัฟกานิสถานในขณะนั้น ที่แม้ได้รับการสนับสนุนและค้ำจุนโดยฝ่ายสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปตะวันตกมาเป็นเวลานาน ซึ่งก็จัดได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงของฝ่ายสหรัฐฯ ในการเพียรพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอัฟกานิสถานให้เป็นสังคมประชาธิปไตย
ความล้มเหลวต่างๆ นั้น มิใช่ว่าฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกขาดพละกำลัง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือเงินตรา แต่หากเพราะว่าไม่สามารถเอาชนะใจชาวอัฟกันโดยทั่วไปได้ต่างหาก นั่นก็เพราะถูกตีตราว่า ฝ่ายตะวันตกคือผู้เข้ามายึดครอง และสนับสนุนกลุ่มอัฟกันที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น (ทำให้การช่วยเหลือต่างๆ ของฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกไปไม่ถึงมือประชาชนพลเมือง) อีกทั้งรัฐบาลยังปล่อยให้ผู้คนต้องตกอยู่ท่ามกลางความไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิต อันสืบเนื่องมาจากการรบราฆ่าฟันกันระหว่างฝ่ายตาลิบันกับฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตก
เมื่อฝ่ายตาลิบันได้เข้ามาปกครองประเทศ แต่ก็ยังมีคำถามว่า แล้วใครกันแน่คือผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศ เขาเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน?
จากการสอบถามชาวอัฟกันที่พอรู้จักมักจี่ และจากการสดับตรับฟังข่าวต่างๆ ก็สามารถที่จะประมวลและมีข้อยุติได้ว่า คณะรัฐบาลตาลิบันที่กำลังปกครองอัฟกานิสถานนั้นประกอบด้วย นักการศาสนา หรือผู้ที่รอบรู้ในธรรมะของอิสลาม (Mullah) ซึ่งจัดได้ว่าเป็นพวกเถรตรง คร่ำครึอยู่ในโลกของตนเอง แล้วก็ตีความคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามตามอำเภอใจ ตามความนึกคิดของตนเองเป็นสำคัญดังจะเห็นได้จากการห้ามและปฏิเสธมิให้สตรีเพศได้รับการศึกษาการขจัด การแสดงออกทางด้านวัฒนธรรมร้องรำทำเพลง การห้ามกิจการมหรสพต่างๆ ไปจนถึงการห้ามมิให้มีร้านแต่งผมสตรี และใช้การลงโทษที่รุนแรงต่อร่างกายเมื่อมีกรณีของการวิพากษ์วิจารณ์ หรือการเผลอไผลไปกับการตีความหรือความเข้าใจในคำสั่งสอนที่ฝ่ายตาลิบันเห็นว่าไม่ถูกต้องตามความเข้าใจและมุมมองของตนเองเป็นที่ตั้ง หรือการไม่รับและลงโทษบุคคลเพศที่สาม เป็นต้น
พวกนักธรรม Mullah เหล่านี้ เติบโตกันขึ้นมา (โดยเฉพาะในช่วงเยาว์วัย) กับโรงเรียนสอนศาสนาที่เคร่งครัด คับแคบในความคิดความอ่าน และความเข้าใจ ทั้งต่อคำสั่งสอนและความเป็นไปในโลกกว้าง แล้วเมื่อโตขึ้นมาที่จะจับอาวุธได้ก็มีชีวิตแบบอยู่กับดินกินกับทรายและกับการสู้รบและความเชื่อที่มั่นคงว่า การทำลายล้างศัตรูทางความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างไป เป็นความดีงามสูงส่งที่เมื่อเสียชีวิตลงแล้ว ก็จะอำนวยให้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์แห่งความสุขอย่างถาวร จนมีข่าวคราวแพร่หลายออกไปว่าพวก Mullah ผู้นำและนักรบตาลิบันต่างๆ นั้น มีความเชื่อว่า เมื่อตายไป เมื่อขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ก็จะมีหญิงงามถึง 72 คน รออยู่บนฟากฟ้า
จึงจัดได้ว่าพวกตาลิบันทั้งหมดมีชีวิตอยู่กับการสู้รบและความเชื่อถือในศาสนาแบบงมงาย ที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และเห็นว่าการฆ่าฟันกันไม่เป็นเรื่องที่ผิด ซึ่งเป็นการสวนทางกับคำสั่งสอน แต่กลับคิดว่าเป็นการกระทำที่ดีงามเพื่อชีวิตในภายภาคหน้าบนสรวงสวรรค์อีกทั้งการดำรงชีวิตประจำวันก็มิได้ให้เกียรติต่อเพศสตรีโดยมิได้คำนึงว่าเพศสตรีนั้นเป็นแม่ ภรรยา และบุตรี แต่ทำเสมือนหนึ่งเป็นของใช้ในครัวเรือน อีกทั้งความสะอาดหมดจดในเรือนร่างกายก็ไม่ต้องพูดถึง โดยมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า นักรบตาลิบันหลายคนไม่รู้จักว่า การอาบน้ำเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งๆ เป็นการปฏิบัติที่เป็นปกติวิสัยของมนุษย์ทั่วไป
คนเหล่านี้ก็อ้างตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม ผู้รู้จัก และผู้สอนศาสนา แล้วก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศปกครองบ้านเมือง ทั้งๆ ที่หลายๆ คนในคณะรัฐมนตรีถูกตีตราและอยู่ในกระบวนการยุติธรรมของโลกว่า เป็นผู้ก่อการร้าย อนาคตของชาวอัฟกานิสถานจึงดูมืดมน ไร้ความหวังและจุดหมาย และทิศทาง และก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบให้ได้ ตราบใดที่เหล่า Mullah ผู้นำ คณะผู้ปกครองไม่สามารถรับฟังและรับรู้ความเป็นไปและหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ และยังไม่สามารถคิดที่จะยินยอมให้ชาวอัฟกันที่มีความรู้มีความสามารถ และมีประสบการณ์ เข้ามาช่วยบริหารประเทศ
แต่ก็ยังพอมีประเทศหนึ่งซึ่งอยู่ในสถานะที่จะพูดจา หันเห ฝ่ายตาลิบันได้ นั่นคือประเทศปากีสถาน โดยเฉพาะกองทัพบกปากีสถาน ที่เป็นเสมือน “พี่เบิ้ม” ให้ฝ่ายตาลิบันมาโดยตลอด ฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายกองทัพปากีสถานจะปล่อยให้อัฟกานิสถานตกอยู่ในสภาวะของความมืดมน ด้วยน้ำมือของฝ่ายตาลิบัน และกลุ่มผู้นำนักเทศน์ นักธรรม Mullah ไปได้อีกนานเท่าใด เพราะในชั้นนี้ปากีสถานก็ต้องรับมือกับผู้อพยพลี้ภัยจากอัฟกานิสถานมามากแล้ว และก็คงจะต้องรับมือกันมากขึ้น เมื่อสภาวการณ์ในอัฟกานิสถานเลวร้ายลง เมื่อผู้คนไม่มีงานทำ ไม่มีกิน และไม่มียารักษาโรค
ฉะนั้น ณ วันนี้โลกจึงต้องฝากความหวังไว้ที่ฝ่ายกองทัพปากีสถาน โดยอาจจะเริ่มในระดับแรก ให้ฝ่ายกลุ่ม Mullah ผู้บริหารประเทศอัฟกานิสถานยุติการ
กระทำการที่สวนทางกับคำสั่งสอนของศาสนาอิสลาม และหลักสากล เช่น นโยบายและมาตรการที่เกี่ยวกับสตรีเพศและเพศที่สาม และการใช้หลักความกลัวและโหดเหี้ยมเป็นวิธีการปกครองบ้านเมือง ซึ่งหากขั้นต้นนี้ยังเริ่มไม่ได้ อนาคตของอัฟกานิสถานก็คงจะดูไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี