ทักษิณ ชินวัตร คนโกงหนีโทษจำคุกคดีทุจริต เคยดูแคลนว่าไทยไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ถึง 100 ล้านโดสตามเป้าหมาย “100 บาท เอาขี้หมากองเดียว”
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เป็นอีกคนที่เคยดูแคลนการจัดหาวัคซีน และด้อยค่าวัคซีนที่จัดหากับแอสตราเซเนกา ที่ผลิตโดยโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ว่าล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ อ้างว่าเข้าโคแวกซ์ดีกว่า ฯลฯ
สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏว่า การตัดสินใจของรัฐบาล ศบค. โดยความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้อง คนทำงานทุกฝ่าย (ไม่นับพวกด้อยค่า ขัดแข้งขัดขา ปั่นหัวสาวก)ก็ถูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ความเป็นจริงที่สุด
ข้อเขียนในเฟจ ฤา History ว่าด้วยเรื่อง “เบื้องหลังความสำเร็จของไทยในการฉีดวัคซีนทะลุเป้า 100 ล้านโดส” ได้แจกแจงข้อมูลเชิงลึก ฉายความจริงให้เห็นว่า ความสำเร็จที่ตบหน้าคนขี้โกงและขี้โม้บางจำพวกนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไร
1. สยามไบโอไซเอนซ์
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในต้นปี พ.ศ. 2563เป็นระยะเวลาที่การระบาดเริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ทำให้เกิดสถานการณ์ขาดแคลนชุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ร่วมกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด พัฒนาและผลิตชุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบRT-PCR ซึ่งได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เป็นแห่งแรกของประเทศไทย มีกำลังการผลิตในระยะแรก วันละ 3,000 ชุด/วัน สยามไบโอไซเอนซ์ได้ปรับพื้นที่บางส่วนของโรงงานเพื่อใช้ผลิตชุดตรวจ RT-PCR อย่างเร่งด่วนและสามารถขยายการผลิตได้อีกเป็นเท่าตัวทำให้ภายในครึ่งปี สามารถส่งมอบชุดตรวจให้รัฐได้ถึง 1 ล้านชุดตรวจได้เป็นผลสำเร็จ
และในเวลาต่อมา บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (มหาชน) จำกัด ซึ่งมีความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มาเป็นระยะเวลานานด้วยความสนับสนุนจากภาครัฐ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จึงได้พูดคุยกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีน ซึ่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดขณะนั้นได้มีความร่วมมือกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าอยู่ จนในที่สุดได้มีการตกลงสร้างความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา 2019 และเลือกประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตระดับภูมิภาคในที่สุด
และด้วยจุดกำเนิดของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีที่มาจากการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในระยะแรก ผ่าน บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ซึ่งมี ดร.เสนาะ อูนากูล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธานกรรมการบริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด และ ดร.เสนาะ อูนากูล ก็ยังเป็นกรรมการใน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (มหาชน) จำกัด อีกด้วย จึงทำให้ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย และ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน
จึงเป็นที่มาของการที่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า เข้ามาตรวจสอบความพร้อมของประเทศไทย และได้พบว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นเพียงองค์กรเดียวในประเทศไทยที่มีความพร้อม และได้รับเลือกเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงรายเดียว
สำหรับประเทศไทย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตยาชีววัตถุแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีความร่วมมือและได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี จาก Center for Molecular Immunology รัฐวิสาหกิจของประเทศคิวบา ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมยาชีววัตถุอันดับต้นๆ ของโลก และประกอบกับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์มีประสบการณ์ในการผลิตยาชีววัตถุเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากที่สุดของไทย
เพราะว่าเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนในชนิด(platform) ไวรัส เวลเตอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ใช้เทคนิคทางพันธุวิศวกรรม ด้วยการใช้พาหะอะดีโนไวรัสของลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้ไม่สามารถแบ่งตัวได้ (ChAdOx1) มาผ่านการเข้ารหัสไกลโคโปรตีน S ของ SARS-CoV-2 ซึ่งผลิตในเซลล์เนื้อเยื่อไตของมนุษย์ (HEK293) มาตัดต่อสายพันธุกรรม ดังนั้นแม้ว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนเลย แต่ด้วยวัคซีนชนิด ไวรัส เวลเตอร์ ต้องอาศัยเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม ซึ่งบริษัทผู้ผลิตวัคซีนในเมืองไทยยังไม่มีบริษัทใดเคยทำมาก่อน แม้ว่าบริษัทองค์การเภสัชกรรม เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด จะเป็นบริษัทที่องค์การเภสัชกรรมร่วมทุนกับบริษัทโซนาฟี่ปาสเตอร์ บริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก สัญชาติฝรั่งเศส ก็ไม่สามารถผลิตวัคซีนชนิดไวรัส เวลเตอร์ได้ เพราะว่าสายการผลิตของบริษัทองค์การเภสัชกรรม เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด รองรับการผลิตวัคซีนชนิดเชื้อตายได้เท่านั้น
และแม้ว่าโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน ซึ่งเป็นความร่วมมือขอองค์กรภาครัฐหลายหน่วยงาน โดยมีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เป็นผู้นำในด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียาชีววัตถุ และถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในการพัฒนา ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) เป็นยาชีววัตถุคล้ายคลึงที่รักษาโรคมะเร็งเต้านม และเป็นนวัตกรรมชิ้นแรกที่ดำเนินการโดยนักวิจัยชาวไทยในประเทศ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยไม่ได้อาศัยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และได้มีการเดินสายการผลิตที่โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติในระดับอุตสาหกรรมแล้วก็ตาม ในปีพ.ศ.2562 แต่ว่าเนื่องจากตัวโรงงานเพิ่งเริ่มเดินสายการผลิตได้ไม่กี่ปี ประกอบกับสายการผลิตยังไม่พร้อมกับการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อเทียบกับสยามไบโอไซเอนซ์ที่มีขนาดการผลิตไม่น้อยกว่า 1 ล้านโดสมานานแล้ว ดังนั้นโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติจึงมีความพร้อมน้อยกว่า
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแอสตร้าเซนเนก้า จึงได้เลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเลือกเป็นศูนย์การผลิตประจำภูมิภาค แต่ว่าเนื่องจากการผลิตวัคซีนในระดับศูนย์การผลิตประจำภูมิภาค ซึ่งมีความต้องการปริมาณที่มาก แม้ว่าโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์จะมีศักยภาพขยายการผลิตให้สูงขึ้นได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอดังนั้นจึงต้องมีการขยายเครื่องจักรเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต
แม้สยามไบโอไซเอนซ์จะเป็นบริษัทเอกชนที่มีทุนดำเนินการมั่นคงก็ตาม การขยายกำลังผลิตในระยะเวลากระชั้นชิดส่งผลต่อการดำเนินสภาพคล่องทางการเงิน จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนทุนหมุนเวียนจากภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อให้ทันท่วงทีต่อโอกาสของประเทศชาติ ที่ได้รับโอกาสคัดเลือกเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนประจำภูมิภาคของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ดังนั้นรัฐบาลจึงสนับสนุนเงินงบประมาณ ซึ่งเป็นงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นเงิน 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังดำเนินการพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA และมีความร่วมมือกับ บริษัทไบโอเนท-เอเชีย โดยสนับสนุนการปรับปรุงสายการผลิตของบริษัทไบโอเนท-เอเชีย ผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ด้วยความที่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นบริษัทเอกชน การได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับกฎหมายและข้อบังคับด้านการเงินการคลังภาครัฐหลายฉบับ ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาติดขัดในอนาคต บริษัทจึงยื่นข้อเสนอโดยตกลงเงื่อนไข การชดใช้เงิน600 ล้านบา ที่รัฐสนับสนุน คืนโดยการส่งมอบวัคซีนเป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าเงินที่ได้รับสนับสนุน”
2. ถ้าไทยเข้าโครงการ COVAX?
“เป็นความโชคดีที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นศูนย์การผลิตวัคซีนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ได้รับโอกาสที่พิเศษในการเจรจาจัดซื้อจัดหาวัคซีนกับผู้ผลิตโดยตรงได้ง่ายขึ้น รัฐบาลไทยจึงมีความจำเป็นน้อยลงที่จะเข้าร่วมโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการที่ประเทศซึ่งมีฐานะร่ำรวย ได้วางเงินจองวัคซีนเป็นมูลค่ามหาศาลเพื่อให้ได้รับวัคซีนก่อน ได้รวมตัวกันเพื่อจัดสรรวัคซีนส่วนเกิน ที่แต่ละประเทศสั่งจองมามากเกินความจำเป็น ไปให้กับประเทศที่ได้รับโอกาสการเข้าถึงวัคซีนน้อยกว่า
โดยนัยของโครงการนี้ ก็คือ เป็นการปิดปากประเทศยากจน ที่ได้รับความเดือดร้อนในการเข้าถึงวัคซีน จากความเห็นแก่ตัวของประเทศที่ร่ำรวย ให้ไม่ต้องโวยวายกันนั่นเอง
โครงการ COVAX จึงเป็นการจัดสรรโควตาวัคซีนแบบอนาถา กล่าวคือ ประเทศที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับวัคซีนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และจะได้วัคซีนฟรีเฉพาะประเทศยากจนเท่านั้น ถ้าเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางอย่างไทย จะต้องมีค่าใช้จ่ายโดยวางเงินล่วงหน้าไว้ก่อน โดยไม่มีกำหนดว่าจะได้รับวัคซีนเมื่อไหร่ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2564 จนถึงปัจจุบัน การส่งมอบวัคซีนในโครงการ COVAX สามารถส่งมอบได้ต่ำกว่าปริมาณที่จองมาก เฉลี่ยแล้วส่งมอบได้เพียงราว 10-15% เท่านั้นเอง โดยที่ประเทศผู้เข้าร่วมโครงการไม่สามารถเลือกชนิดของวัคซีนได้
เมื่อเทียบกับการจัดซื้อจัดหาโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตโดยตรง อย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซีย จองวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า 104 ล้านโดส ปัจจุบันส่งมอบแล้วกว่า 36.5 ล้านโดส หรือราวๆ 35% หรือกรณีประเทศเวียดนาม จองวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า 30 ล้านโดส และได้รับมอบมาแล้ว 100% ในขณะที่การส่งมอบผ่านโครงการ COVAX การรับมอบต่ำมาก
ถ้าหากประเทศไทยเข้าโครงการ COVAX ความต้องการของประเทศไทย คือ 61 ล้านโดส อาจจะเป็นการซื้อโดยตรง 50% และซื้อผ่านโครงการ COVAX อีก 50% ป่านนี้ไทยอาจได้รับมอบจากแอสตร้าเซนเนก้า 100% เหมือนเวียดนามแล้วก็ได้ แต่ว่าการรับมอบวัคซีนผ่านโครงการ COVAX ก็คงจะได้รับมอบสักราวๆ 4 ล้านโดส พอๆ กับเวียดนามก็เป็นได้ ดังนั้นก็น่าจะจัดหาวัคซีนมาได้สักราวๆ 34 ล้านโดสเหมือนเวียดนาม
ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้เข้าโครงการ COVAX ในระยะแรก และได้สั่งซื้อวัคซีนโดยตรงกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จึงทำให้ปัจจุบัน ไทยได้รับจัดสรรวัคซีนที่สั่งซื้อมาแล้วกว่า 47.73 ล้านโดส หรือกว่า 78.25% และเนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตประจำภูมิภาค เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรมกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จึงมักเกลี่ยโควตาวัคซีนโดยนับรวมจำนวนที่ไทยได้รับบริจาค ซื้อต่อ หรือยืม เข้าเป็นยอดเดียวกันในแผนการจัดหาวัคซีน 61 ล้านโดส เข้าไปด้วย (แล้วแอสตร้าเซนเนก้าจะจัดสรรโควตาคืนให้ในภายหลัง) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านมองว่าไทยได้รับสิทธิพิเศษมากเกินไป
จึงนับได้ว่า ความสำเร็จของการเร่งรัดให้ประชาชนชาวไทยเข้าถึงวัคซีนได้อย่างกว้างขวาง ในระยะครึ่งปีหลังของ ปี พ.ศ.2564 จนประสบผลสำเร็จ ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2564 นั้น มาจากการที่สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งปูพื้นฐานพัฒนาอุตสาหกรรมยาชีววัตถุมากว่า 10 ปี จนบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเห็นถึงศักยภาพของสยามไบโอไซเอนซ์ ว่าเป็นบริษัทเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความพร้อมสำหรับเป็นศูนย์กลางการผลิตประจำภูมิภาคได้ และทำให้ไทยได้รับโควตาจัดสรรวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า จนเพียงพอต่อความต้องการ”
ขอบคุณการตัดสินใจที่ถูกต้องของรัฐบาล ขอบคุณสยามไบโอไซเอนซ์
ขอบคุณที่ฝ่ายค้านปัจจุบันไม่ใช่รัฐบาลในยามวิกฤต มิฉะนั้น ป่านนี้ประเทศไทยอาจมีคนป่วยและคนตายเพราะโควิดเยอะกว่าที่เป็นอยู่มหาศาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี