การเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดชุมพร ได้ประกาศผลเบื้องต้นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งทั้งสองเขต ในขณะที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้งค้างคาอยู่หลายเรื่อง แต่ในทางการเมืองนั้นภาพลักษณ์ที่ปรากฏก็คือพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร.พ่ายแพ้ให้แก่พรรคประชาธิปัตย์
การแพ้ชนะเป็นธรรมดาของการเมือง แพ้ชนะก็มีการร้องเรียนกันเป็นธรรมดา บ้างการร้องเรียนก็เป็นผล บ้างก็ไม่เป็นผล ซึ่งก็เป็นธรรมดาอีกเช่นเดียวกัน แต่เรื่องการพ่ายแพ้ครั้งนี้กลับไม่ใช่เรื่องธรรมดา และอาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมืองของประเทศ
เพราะแพ้ชนะในครั้งนี้มีความสลับซับซ้อน ทั้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลเอง และทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ไม่ใช่แพ้ชนะเชิงเดี่ยวเหมือนที่เคยเห็นกันโดยทั่วไป ดังนั้นในเรื่องนี้จึงต้องมองถึงแก่นแท้ของเรื่องให้กระจ่าง มิฉะนั้นก็จะถูกภาพลวงตาชักพาไป
ก่อนอื่นก็ต้องมองสภาพทางการเมืองก่อนและระหว่างการเลือกตั้งเสียสักหน่อย โดยเฉพาะสถานการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีอาการไม่เป็นเนื้อเดียวกันกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข่าวคราวเรื่องการยึดพรรค การแย่งการบริหารพรรค และการยุบพรรคอย่างต่อเนื่อง และยังมีข่าวคราวการจับขั้วอำนาจใหม่ในขณะที่ยังร่วมรัฐบาลกันอยู่จนเป็นข่าวฮือฮากันโดยทั่วไป
และที่น่าสังเกตที่สุดก็คือคณะบุคคลที่แสดงท่าทีสนับสนุนและเชียร์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอย่างเต็มที่ อย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลานานในทุกสถานการณ์ ซึ่งถูกขนานนามว่าคณะองครักษ์เสื้อทองได้เคลื่อนไหวสร้างกระแสด้อยค่า พปชร. โจมตีหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคชนิดไม่ไว้หน้าและอย่างเปิดเผย มีข้อความปรากฏในโซเชียลมีเดียทุกวันวันละหลายเรื่อง ที่สำคัญคือไม่มีท่าทีใดๆ จากนายกรัฐมนตรีที่จะห้ามปราม ทักท้วง หรือสนับสนุน
จนเป็นที่ตั้งข้อสังเกตกันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ขัดขวางการกระทำของคณะองครักษ์เสื้อทองเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน ทีมงานคนสนิทของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ลาออกจาก พปชร. ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มที่เรียกว่าขั้วอำนาจใหม่ให้เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว
สถานการณ์เลือกตั้งสามเขตคือสองเขตในภาคใต้และหนึ่งเขตในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นในสภาพการณ์เช่นนี้ และได้มีการมอบหมายให้รัฐมนตรีในกลุ่มสาม ช. ซึ่งว่ากันว่าเป็นสายตรงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้รับผิดชอบและอำนวยการเลือกตั้งทั้งสามเขต และโดยธรรมเนียมวิสัยการเลือกตั้งนั้น อำนาจในการบริหารจัดการการเลือกตั้งและค่าใช้จ่ายทั้งหลายจะเป็นอำนาจของผู้อำนวยการการเลือกตั้ง
ทำให้ทั้งสามเขตผู้บริหารพรรคคนอื่นตั้งแต่หัวหน้าพรรคลงมาต้องปฏิบัติตามแผนการเลือกตั้งที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกำหนดขึ้น
ดังนั้น แม้มีผู้บริหารพรรคคนอื่นตั้งแต่หัวหน้าพรรคลงไป ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งก็ยังอยู่ในอำนาจของผู้อำนวยการการเลือกตั้งของเขตนั้น และโดยประการนี้แพ้ชนะในการเลือกตั้งจึงเป็นความรับผิดชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งโดยตรง
ในระหว่างการเลือกตั้ง ปชป. ได้ระดมสรรพกำลังตั้งแต่หัวหน้าพรรคลงไป แม้กระทั่งนักการเมืองเก่าแก่เก่าเก็บก็ยังถูกกะเกณฑ์ขึ้นเวทีปราศรัย และเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือถล่ม พปชร. ชนิดไม่ไว้หน้าและไม่ยั้งมือ จนคนใต้ซึ่งฟังคำปราศรัยต้องอุทานว่า“หรอยจังฮู้” ซึ่งเป็นคำอุทานในกรณีที่ชาวบ้านถูกข้าราชการในพื้นที่กดขี่ข่มเหงแล้วต่อสู้อย่างถึงที่สุด จนทำให้ข้าราชการในพื้นที่นั้นต้องถูกลงโทษหรือถูกย้ายอย่างนี้คนใต้จะอุทานว่าหรอยจังฮู้ หรือถ้าใครด่าแม่ใครอย่างเจ็บแสบ คนใต้ก็จะอุทานคำนี้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นถ้อยคำปราศรัยบนเวทีที่ว่า ดีแต่คุ้มหัวให้คนชั่ว อุ้มคนโกง จึงกึกก้องกระหึ่มทุกเวทีปราศรัย ในขณะที่เวทีปราศรัยของ พปชร. ปราศรัยได้อย่างมากแค่การช่วยเหลือประชาชน ถ้าเป็นกับข้าวก็ต้องเรียกว่าแกงจืดกร่อยๆ ไหนเลยจะสู้แกงเหลืองหรือแกงไตปลาได้
ไม่กล่าวถึงการซื้อเสียงเพราะไม่มีหลักฐานในมือที่จะกล่าวเช่นนั้น แต่จะต้องติดตามดูข่าวคราวกันต่อไปเพราะมีกรณีร้องเรียนอยู่ไม่น้อย
หลังผลการเลือกตั้งปรากฏในเบื้องต้นปรากฏว่ากองเชียร์ของ ปชป. ได้โหมกระแสข่าวว่าพปชร. เสื่อมแล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสื่อมแล้ว ไม่เป็นที่นิยมอีกแล้ว ปชป. ได้ให้บทเรียนสั่งสอน พปชร. อย่างสาสมแล้ว ซึ่งคมหอกก็ยังคงพุ่งไปที่ พปชร. เป็นหลัก ตามมาด้วยหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค แม้ปานนี้ก็ยังต้องถือว่าเป็นเรื่องของพรรคคู่แข่งที่จะกล่าวถึงกันและกัน
แต่ที่น่าแปลกก็คือบางคนในองครักษ์เสื้อทองรีบเขียนเฟซบุ๊คชี้นำกระแสว่าความพ่ายแพ้นี้เป็นความรับผิดชอบของเลขาธิการพรรค พปชร. หลังจากนั้นคณะองครักษ์เสื้อทองทั้งคณะก็เคลื่อนกระแสสอดรับประสานกันและขยายวงเป็นว่าพปชร. หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคหมดบารมีแล้ว เสื่อมแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
ส่วนพรรคฝ่ายค้านนั้นก็เป็นที่แน่นอนว่าย่อมชี้เป้าไปที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พปชร.ว่าหมดความนิยมเชื่อถือแล้ว ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรคฝ่ายค้านอีกเช่นเดียวกัน
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไม่เคยมีเสียงทวงหาความรับผิดชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งเลยมิหนำซ้ำ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกลับดำเนินการทำโพลล์ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นโพลล์เจ้าเดิมขาประจำว่าความพ่ายแพ้นี้เป็นเพราะ ร.อ.ธรรมนัส หรือไม่ซึ่งเท่ากับพุ่งปลายหอกไปให้ ร.อ.ธรรมนัสรับผิดชอบแต่ผู้เดียว
สภาพเช่นนี้คืออาการปริต่อเนื่องจากอาการร้าวที่เกิดขึ้นใน พปชร. ซึ่งจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเสียแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี