พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดอมยิ้มหลังจากประชุมครม. นัดประวัติการณ์ที่รัฐมนตรีจากภูมิใจไทย 7 คนพร้อมใจกันไม่เข้าประชุม ครม.ว่า
“วันนี้บรรยากาศดูเหงาๆ รัฐมนตรีหายไปเยอะ สงสัยรถไฟฟ้ามาหานะเธอ..” การพูดเรื่องจริงจังร้ายแรงที่แฝงรอยยิ้มของพลเอกประยุทธ์หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า“ลุงตู่”บอกได้ว่าเป็นคนที่ยิ้มได้เมื่อภัยมาอย่างแท้จริง
ยังจำเหตุการณ์หนึ่งวันก่อนยึดอำนาจจากรัฐบาลหัวขาดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ไหม วันนั้นลุงตู่ให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายมาเจรจาตกลงกันในสโมสรกองทัพบก และลุงตู่พูดแฝงรอยยิ้มว่าถ้าตกลงกันไม่ได้ผมอยู่ต่อนะและถ้าอยู่ต่อผมนานด้วย (ตอนนั้นลุงตู่ใกล้ถึงวันเกษียณ) วันรุ่งขึ้นเมื่อคู่ขัดแย้งตกลงกันไม่ได้เพราะนายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการหัวหน้ารัฐบาลที่ไม่มีก.ม. รองรับ พูดว่า“นาทีนี้ผมไม่ลาออก”
ลุงตู่อมยิ้มพูดว่า “นาทีนี้ผมขออนุญาตยึดอำนาจนะ”และตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2557 จนถึงวันนี้ลุงตู่ยังอยู่ในอำนาจ บัดนี้ลุงตู่พูดแฝงรอยยิ้มอีกแล้วว่า“วันนี้บรรยากาศดูเหงาๆ รมต.หายเยอะ สงสัยรถไฟฟ้ามาหานะเธอ..”
กิริยาอย่างนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าเมื่อที่ลุงตู่เจอปัญหาหนักอกและผ่านการคิดวางแผนมาอย่างเคร่งเครียดลุงตู่มักจะพูดเรื่องจริงจังร้ายแรงแฝงด้วยรอยยิ้ม และความจริงก็คือในที่ประชุม ครม.วันนั้นจิ้งจกบนเพดานห้องประชุม กระซิบให้ฟังว่าลุงตู่ทำให้ทุกคนสะดุ้งเมื่อพูดอย่างขึงขังว่า “#ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครเป็นใคร ขอบคุณทุกคนที่เข้าประชุม ผมเป็นคนที่จำนะ#
จิ้งจอกบนเพดานห้องประชุม ตีความคำว่า “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครเป็นใคร คงหมายถึงใครมีพื้นฐานมาจากไหนและใครที่ยังติดต่อกับคนแดนไกล ใครที่เห็นว่าเพื่อนเซแล้วผลักให้ล้มเลยไม่ใช่แค่เพื่อนล้มแล้วเดินข้าม”
และจิ้งจกบนเพดานห้องประชุมถึงกับซุบซิบตีความไปไกลว่ารัฐบาลชุดหน้าถ้าลุงตู่ยังเป็นนายกฯต้องไม่มีพรรคภูมิใจไทย
จิ้งจอกบนเพดานห้องประชุมยังซุบซิบกันด้วยว่าลุงตู่“ยิ้มออก แล้วพยักหน้าเห็นด้วย” เมื่อรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า
“#งานนี้เราต้องรับผิดชอบร่วมกัน โครงการนี้เป็นความรับผิดชอบหน่วยงานของรัฐทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย รฟม. และ กทม. มีความเห็นไม่ตรงกันจุดไหน หรือผลประโยชน์ขัดกันตรงไหน ไม่พอใจจุดไหนก็มาชี้แจงอธิบายทำความเข้าใจกันได้ใน ครม...”
เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต่อขยายพรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนว่า“ไม่เห็นด้วยกรณีกระทรวงมหาดไทย เสนอวาระเพื่อพิจารณา ขอความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร(กทม.)เพื่อขยายสัญญาสัมปทานให้แก่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC บริษัทในเครือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ออกไปอีก ๓๐ ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๗๒ ออกไปเป็นปี ๒๖๐๒ แลกกับการเก็บค่าโดยสาร ๖๕ บาท ตลอดสายให้ ครม.พิจารณาอนุมัติ”
คำอธิบายของรัฐมนตรีท่านนั้น ได้สาธยายไปว่าเมื่อกระทรวงคมนาคมมีความปรารถนาดีว่าไม่ต้องการให้ประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพง และกระทรวงมหาดไทยก็มีความปรารถนาดีเช่นกันคือให้ประชาชนไม่ต้องลำบากที่ต้องลงจากขบวนนี้แล้วไปตีตั๋วเดินทางต่อไปอีกขบวนหนึ่ง
จิ้งจกบนเพดานห้องประชุมประหลาดใจด้วยว่าในเมื่อโครงการนี้มีต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย คสช.ทำไมภูมิใจไทยจึงไม่คัดค้านหรือตั้งเงื่อนไขไว้ก่อนเข้าร่วมรัฐบาลว่า “ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้”เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเงื่อนไขไว้ว่าหากร่วมรัฐบาล 1. ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา 2. ต้องบรรจุนโยบายประกันราคาพืชผลไว้ในแผนงานของรัฐบาลเป็นต้น
มาถึงจุดจิ้งจกบนเพดานบอกว่าที่ประชุมได้ตกลงกันว่าจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวต่อขยายโดยให้กระทรวงมหาดไทยไปทำความเข้าใจกับกระทรวงคมนาคมใหม่
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เจ้าของเรื่องรถไฟฟ้าสีเขียวที่เสนอเข้า ครม. จึงพูดหลังการประชุมครม. ว่า“ทางกระทรวงคมนาคมต้องการข้อมูลชี้แจงเพิ่มเติม ครม.จึงมีมติให้ไปชี้แจงเพิ่มเติม แล้วนำเรื่องกลับเข้ามา ครม.ใหม่ก็เป็นไปตามที่กระทรวงคมนาคมยื่นหนังสือมา และมีข้อทักท้วง ๔ ข้อ
พลเอกอนุพงษ์ ยืนยันด้วยว่า “ไม่ได้เป็นการถอนวาระการพิจารณาออกจากการประชุม ครม.แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการไปนำข้อมูลมาเพิ่มเติมเท่านั้น”
สรุปว่าเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวต่อขยายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเดินหน้าต่อไปและให้กระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงคมนาคมทำความเข้าใจกัน แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะลุงตู่เคยพูดไว้ว่า # “เรื่องยุบสภาหรือไม่ยังตอบไม่ได้ อย่าให้มันเกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน”#
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เซียนการเมืองอย่างยี้ห้อย 120 คงหาทางลงให้พรรคภูมิใจไทยได้ เพราะรู้ดีว่าการแบล็กเมล์รัฐบาลยุคนี้มันไม่ง่ายเหมือนกับการถล่มรัฐบาลชวน หลีกภัย ในปี 2538
คือปี 2538 ในรัฐบาลชวน 1 มีนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ุ เป็น รมต.กระทรวงเกษตรฯ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรมช.กระทรวงเกษตรฯ ได้เกิดมีข้อครหาว่ารัฐบาลจัดสรรที่ดินส.ป.ก. ให้กับคนมีอันจะกินในจังหวัดภูเก็ต และเพื่อให้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านมีน้ำหนักสมเหตุสมผล สส.ฝ่ายค้านนำโดยยี้ห้อย 120 จึงวางแผนทำปฏิบัติการยุทธการจับกระจงเพื่อคว่ำรัฐบาลขึ้น
เพื่อพิสูจน์ว่าที่ ส.ป.ก. ซึ่งคนมีอันจะกินใน จ.ภูเก็ตถือครองอยู่นั้นเป็นป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์
สส.ฝ่ายค้านนำโดย ยี้ห้อย 120 จึงนำคณะสส.และสื่อมวลชนชุดใหญ่ลงไปตรวจสอบพื้นที่ด้วยตัวเอง ในขณะที่ สส.และสื่อมวลชนกำลังสำรวจพื้นที่ในสวนยางพาราแห่งหนึ่งอยู่นั้น บังเอิ๊ญ..บังเอิญ มีกระจงตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้คณะผู้สำรวจและด้วยความฉับไวไหวพริบดี ยี้ห้อย 120 ก็ตะครุบกระจงตัวนั้นได้ ผู้สื่อข่าวที่คณะพาไปเสนอข่าวครึกโครมกว่าที่ส.ป.ก.ซึ่งบางส่วนปลูกยางพารายังเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่
และเมื่อพรรคฝ่ายค้านนำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภา ซึ่งเวลานั้นบ้าลำโพงผู้สร้างตำนานพระพุทธเจ้าน้อย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแสดงอาการร้อนรนว่าอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไม่ได้แล้ว พรรคพลังธรรม ต้องถอยหมอนถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ถึงตอนนั้นรัฐบาลนายชวน หลีกภัย(1)จึงตัดสินใจยุบสภา ตั้งแต่นั้นมา ปชป.กับบ้าลำโพงผู้สร้างตำนานพระพุทธเจ้าน้อย ตายไม่เผาผีไม่มองหน้ากัน เพราะเหตุว่าพรรคนิยมเขียวกินแต่ผักอย่างเดียวไม่กินเนื้อ #ไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่ากระจงที่จับได้นั้น มันเกาะเครื่องบินไปตั้งแต่ดอนเมืองแล้ว#
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสันดอนขุดได้สันดานขุดไม่หาย ผู้ที่เห็นประโยชน์ส่วนตนก่อนประโยชน์ของชาติมาตั้งแต่ไหนแต่ไรย่อมเห็นประโยชน์ส่วนตนมาก่อนสิ่งอื่นใด และนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันอยู่มานานกว่าใครนั้น ถึงแม้ถูกฝ่ายตรงข้ามมองว่าเชื่องช้าแต่ก็สุจริตจริงใจไม่เคยหักหลังใคร
จิ้งจกบนเพดานห้องประชุมซุบซิบกันต่อไปว่า “วันนี้ลุงตู่รู้แล้วมิตรแท้ของลุงคือ ปชป.”และมั่นใจว่าการแบล็กเมล์ลุงตู่เหมือนยุทธการจับกระจงนั้นทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะกาลเวลาผ่านไปและเหตุปัจจัยก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยตามกาลเวลา
สถานะของรัฐบาลวันนี้กับปี 2538 แตกต่างกัน เพราะมีบทเฉพาะกาล 5 ปีของรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นฐานค้ำยันความมั่นคงของรัฐบาลเอาไว้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีก.ม.ลูกของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขไว้เป็นตัวประกัน ดังนั้นหากยุบสภาทันทีในตอนนี้ก็จะมีแต่ความวุ่นวายเพราะไม่มีใครรู้ว่าจะต้องจัดเลือกตั้งแบบไหน
นักการเมือง พรรคการเมืองทำได้แต่เพียงสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในสภาและลามไปสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายใน ครม.เพื่อให้เกิดความรำคาญได้เท่านั้น แต่ถึงแม้มีความปั่นป่วนในพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล นักการเมืองส่วนใหญ่ยังไม่กล้าหาญพอที่จะวางระเบิดฆ่าตัวตายโดยการไม่ลงมติให้กฎหมายสำคัญที่เสนอโดยรัฐบาลไม่ผ่านสภา
เพราะถ้าทำอย่างนั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้ลุงตู่อยู่ไปดังที่เคยพูดไว้ว่า “อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี