การกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ เครือข่ายของ “นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์” หรือ “โกโต้ง”อดีตนายก อบจ.สตูล จำคุก 75 ปี และ “พล.ท.มนัส คงแป้น” อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จำคุก 27 ปี และพวก เกิดขึ้นก็ด้วยนโยบายเด็ดขาดในยุครัฐบาลคสช.
คำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ทลายขบวนการค้ามนุษย์นั้น (รอชั้นศาลฎีกา) มีจำเลยร้อยกว่าคน เชื่อมโยงกลุ่มผู้มีอิทธิพลคนมีสีและนักการเมืองท้องถิ่น
“โกโต้ง” อดีตนายก อบจ.สตูล มีบทบาทอำนาจเบ็ดเสร็จในการขนส่งแรงงานข้ามชาติ
“พล.ท.มนัส” มีเส้นทางการเงินและช่วงเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่เชื่อมโยงขบวนการดังกล่าว(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วในเรือนจำ)
เรื่องเหล่านี้ กลับมาเป็นข่าว หลังการปั่นกระแสของ สส.สามนิ้ว และการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศของ “พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” อดีต รอง ผบช.ภ. 8 ซึ่งขณะนี้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
เขาถูกย้ายลงใต้ไปให้เป็นเป้าสังหาร จริงหรือ? แล้วเขาทำคดีคนเดียว จนตกเป็นเป้าคนเดียวอย่างนั้นหรือ?
เขาเก่งคนเดียว กล้าคนเดียว ดีอยู่คนเดียว? คนอื่น รวมทั้งรัฐบาล คสช. ต่างหัวหด หรือไม่เอาจริงกับการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ จริงหรือ?
คำตอบชัดเจน คือ ขบวนการค้ามนุษย์มีมาตั้งแต่ก่อน คสช.แล้ว
และถ้าไม่มีนโยบายให้จัดการเด็ดขาดจาก คสช. ก็ไม่มีทางทลายเครือข่ายนี้ได้
ส่วนคำพูดข้างๆ คูๆ ในทำนองว่า มีตัวใหญ่กว่านั้น ก็ไม่เคยแสดงหลักฐานอะไรเลย มันจึงเป็นการพูดแบบไม่รับผิดชอบ ทั้งๆ ที่ เจ้าตัวเคยสอบสวนเอง ย่อมจะต้องมีหลักฐานข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ กลับทำได้เพียง “พูดลอยๆ” เพื่อให้ถูกใจเกรียนคีย์บอร์ดเอาไปมโน และปั่นกันต่อๆ ไป
ประเด็นว่า มีใครปกป้องใครหรือไม่? หากย้อนกลับไปอ่านเบื้องหลังคดีค้ามนุษย์ ที่เขียนโดย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองผบ.ตร. จะเห็นชัดเจนว่า คนทำงานที่ตั้งใจทำหน้าที่ยังมีอีกมาก และความจริงเป็นอย่างไร
บางตอนที่น่าสนใจ ระบุว่า
“วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2557 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่มีระดับการแก้ไขปัญหาการค้ามุษย์ต่ำสุด เทียร์ 3 ดำเนินการไม่สอดคล้องกับมาตรการขั้นต่ำตามกฎหมายต้านการค้ามนุษย์ของสหรัฐ และไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างมีนัยสำคัญที่จะแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ในรายงานระบุว่าไทยเป็นประเทศต้นทาง ปลายทาง และทางผ่านการค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่คอร์รัปชัน อำนวยความสะดวกในการค้ามนุษย์ มีข้าราชการไทย ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในกองทัพเกี่ยวข้องและได้รับประโยชน์จากการลักลอบค้ามนุษย์ ฯลฯ ผลกระทบที่เกิดขึ้น สหรัฐและประเทศอื่นๆ ใช้มาตรการในการกีดกัน ไม่ซื้อสินค้า ประมูลมูลค่าความเสียหาย คาดว่าประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมประมง อาหารทะเลแช่แข็ง รวมทั้งสินค้าอื่นๆ เช่นเสื้อผ้า ต่อมา รัฐบาล “นายกฯประยุทธ์” ได้ประกาศการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพชาวโรฮีนจาที่แคมป์ที่พักชั่วคราว บริเวณชายป่า เทือกเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ห่างจากเขตแดนมาเลเซีย 300 เมตร ผมในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ผอ.ศพดส.ตร. รับผิดชอบในการปราบปรามการค้ามนุษย์ได้เดินทางไปสงขลา จากการสืบสวนยังพบว่ามีคดีฆาตกรรมและคดีค้ามนุษย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงอีกหลายคดี ร่วมกันกระทำความผิดเป็นเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ ที่สลับซับซ้อน และมีการกระทำความผิดครอบคลุมหลายพื้นที่ ตั้งแต่ต้นทางระนอง พังงา ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช สตูลและสงขลาปลายทาง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ตชด.ร่วมตรวจค้นพบแคมป์ที่พักชั่วคราวที่ควบคุมชาวโรฮีนจา จำนวน 15 แห่ง รวม 117 หลัง พบศพชาวโรฮีนจาเพิ่มขึ้นอีกรวม 36 ศพ ตำรวจได้ระดมกำลังค้นหาช่วยเหลือเหยื่อคนต่างด้าวที่หลบหนีออกจากแคมป์ไปซ่อนตัวอยู่บริเวณโดยรอบ จำนวน 320 คน มีทั้งชาวโรฮีนจา บังกลาเทศ และพม่า นำตัวไปพักที่ศูนย์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ อ.รัตภูมิ จัดอาหารและดูแลรักษาพยาบาล เพื่อทำการคัดแยกส่งกลับต่อไป
พอเริ่มเป็นคดีใหญ่ มีประชาชน นักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศทุกสำนัก ให้ความสนใจ ทันใดนั้นเองก็มีข่าวว่าจะให้รอง ผบ.ตร.อีกคนมาทำหน้าที่ควบคุมคดีนี้แทน เบื้องหลังต้องการดิสเครดิตผม โดยมีจุดมุ่งหมายอะไรก็พอจะเข้าใจได้ ผมไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น ก็ทำงานอยู่กับคณะสอบสวนต่อไปจนกว่าจะได้รับคำสั่งจาก
ผู้บังคับบัญชา
“คณะทำงานของนายกฯ ประยุทธ์ทราบเรื่อง ได้รายงานให้นายกฯ ประยุทธ์ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ควบคุมคดีนี้ นายกฯ ประยุทธ์ ได้สั่งการ กำชับให้ ผบ.ตร.มาแจ้งผมเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมการสืบสวนสอบสวนคดีค้ามนุษย์ต่อไป ผมได้เริ่มดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเพื่อบริหารการสืบสวนสอบสวนคดีร่วมกับตำรวจในพื้นที่จ.สงขลาประมาณ 100 นายที่หมุนเวียนร่วมปฏิบัติหน้าที่ ”
ผมได้เรียกตัว พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8มาปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนด้วย.... พล.ต.ต.ปวีณ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน คณะประกอบด้วย พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ นิตยวิมล รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.คำรณ ยอดรักษ์ รอง ผบก.สส.ภ.9 พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ชิวปรีชา ผกก.สส.ภ.8 (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) และพนักงานสอบสวนอีกหลายสิบคนที่ระดมมาจากทุกสถานีตำรวจในจังหวัดสงขลา โดยทำงานร่วมกับทีมอัยการ และปปง.
...การสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานว่าพ่อค้าคหบดีในจังหวัดระนองหลายคนร่วมกระทำผิด จึงได้มีการจับกุมตัวมาดำเนินคดี บางคนหลบหนีไปประเทศพม่า และเมื่อตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา ตำรวจพบเอกสารสำคัญบางอย่างเป็นหลักฐานยืนยันว่านายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งร่วมกระทำผิดด้วย
“ผมพิจารณาแล้วเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ได้เดินทางเข้าพบและรายงานให้ให้รองนายกฯ ประวิตร และ ผบ.ทบ.ผู้บังคับบัญชานายทหารผู้นั้นทราบ รองนายกฯ ประวิตรได้สั่งการให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการหรือ นักการเมืองท้องถิ่น ผมกลับไปสงขลาดำเนินการขอศาลออกหมายจับนายทหาร เมื่อศาลออกหมายจับแล้ว นายทหารผู้นั้นทราบ ได้ขอเข้ามอบตัวต่อ ผบ.ตร.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมและ พล.ต.ท.มนตรี ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.วีระสิทธิ์ เพชรคล้าย รอง ผบช.ภ.9 เข้าร่วมการรับมอบตัวผู้ต้องหาด้วย
ระหว่างนั่งในห้องรับรอง ผบ.ตร.ได้พูดกับนายทหารผู้ต้องหาว่า “เราเป็นพี่เป็นน้องกัน จะให้ความเป็นธรรม สอบสวนปากคำเสร็จแล้วก็จะให้ประกันตัวไป” ผมรู้สึกแปลกใจ สงสัยว่าทำไม ผบ.ตร.พูดกับนายทหารผู้ต้องหาเรื่องการให้ประกันตัว โดยไม่ได้หารือสอบถามผมกับพนักงานสอบสวนก่อน พอนายทหารผู้ต้องหาออกจากห้องไป ผมก็บอก ผบ.ตร.ว่าคดีนี้ อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มอบให้ผมและพนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกัน พนักงานสอบสวนได้ร่วมกันพิจารณาแล้ว ผู้ต้องหาที่จับกุมตัวได้หรือมอบตัว เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพล ในท้องถิ่น อาจจะไปข่มขู่พยานหรือยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้เกิดความเสียหายต่อคดี ดังนั้น จะสอบสวนผู้ต้องหาแล้วนำไปฝากควบคุมที่เรือนจำ จะไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน หากมีการขอประกันตัวผู้ต้องหาในชั้นศาล พนักงานสอบสวนก็จะคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทุกคนเหมือนกันหมด ถ้าให้ประกันตัวเฉพาะนายทหารผู้ต้องหาเพียงคนเดียวอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ สื่อมวลชนและต่างชาติก็จับตาติดตามตลอด
ผบ.ตร.บอกให้ผมรีบไปเรียนให้รองนายกฯ ประวิตร เรื่องที่ไม่สามารถให้ประกันตัวผู้ต้องหาได้ ส่วนนายทหารผู้ต้องหา ขณะอยู่บนเครื่องบินตำรวจ กำลังจะเดินทางไปสงขลา มั่นใจว่าจะได้ประกันตัว โทรศัพท์บอกเพื่อนว่าจะไปให้การ เสร็จแล้วจะประกันตัวกลับกรุงเทพฯ ทันที ครั้นเมื่อสอบสวนปากคำเสร็จ ไม่ได้ประกันตัว ก็เกิดอาการเกลียดโกรธ โมโห พูดว่า “กูโดนหลอก ผบ.ตร.จะให้ประกันตัว แต่ไอ้รองเอกคัดค้านไม่ให้การประกันตัว” ด่าทอ ข่มขู่ อาฆาตมาดร้ายต่างๆ นานา จนกระทั่งถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพยานเข้าไปชี้ตัวก็ยังข่มขู่พยาน จนพยานหวาดกลัวต้องแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีอีกข้อหาหนึ่ง ตำรวจและอัยการได้ร่วมกันสืบสวนสอบสวนคดี ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนทุกวัน ติดต่อกันตลอด 3 เดือน ก็สืบสวนสอบสวนคดีนี้เสร็จสิ้น
สรุปสำนวนการสอบสวน พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีนี้ทั้งหมด 153 คน ผู้ต้องหามีทั้งนายทหาร ตำรวจ นักการเมืองผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ตลอดจนพ่อค้าคหบดีหลายคน ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวและถูกจับกุมตัว 105 คน ผู้ต้องหาหลบหนี ต้องออกหมายจับ 45 คน ผู้ต้องหาถึงแก่กรรม 3 คน ตำรวจได้นำสำนวนการสอบสวน ประกอบด้วยเอกสาร จำนวน 25,000 แผ่น บรรจุในแฟ้มใส่กล่องกระดาษ ประมาณ 20 กล่อง ขึ้นเครื่องบินตำรวจส่งอัยการสูงสุดที่กรุงเทพฯ อัยการสูงสุด ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป...
ศาลได้พิจารณาคดีนี้อย่างต่อเนื่อง จนมีคำพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำเลยที่กระทำความผิด บางคนต้องโทษจำคุกหลายสิบปี นายทหารก็ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก แต่ได้ถึงแก่ความตายระหว่างถูกควบคุมที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ ปปง.สามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้จำนวนมาก มีทั้งเงินสด ที่ดิน โรงแรม รถยนต์ ฯลฯ จำนวน 253 รายการ มูลค่าประมาณ 220 ล้านบาท คดีถึงที่สุดศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมาประเทศไทยได้รับการปรับระดับการดำเนินการเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ดีขึ้นตามลำดับ ส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศได้ตามปกติ
ผมโอนย้ายไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.ปวีณกลับไปทำงานในตำแหน่งเดิม ถูกโยกย้ายไปเป็นรองผู้บัญชาการ ศชต.รับผิดชอบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ พล.ต.ต.ปวีณ คงรู้สึกเสียใจว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกกลั่นแกล้งจากผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจ จึงขอลาออกจากราชการ เดินทางไปต่างประเทศและขอลี้ภัย
ผมพยายามติดต่อ พล.ต.ต.ปวีณเพื่อจะพูดคุยด้วย แต่ไม่สามารถติดต่อได้ผู้บังคับบัญชาก็พยายามจะแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็ไม่ทันการณ์ ผู้สื่อข่าวสนใจติดตามข่าวเรื่อง พล.ต.ต.ปวีณ อยากทราบเบื้องหลังต่างๆ อยู่สักพัก ก็เงียบหายไป อาลัยอย่างยิ่ง กับการที่พล.ต.ต.ปวีณต้องลาออกจากราชการ พลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเกิดเมืองนอนไปลี้ภัยใช้ชีวิตต่างแดนด้วยความขมขื่น อยากจะบอกกับ พล.ต.ต.ปวีณว่า “พี่ขอโทษและเสียใจจริงๆ ที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย”
ทุกวันนี้ เมื่อผมมองดูโล่ประกาศเกียรติคุณยกย่องเชิดชูเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นคดีการค้ามนุษย์ครั้งใด คิดถึง พล.ต.ต.ปวีณกับบทเพลงความฝันอันสูงสุด พระราชนิพนธ์ล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติธำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”
จะเห็นชัดเจนว่า คนทำงานที่ตั้งใจทำหน้าที่ยังมีอีกมาก และความจริงเป็นอย่างไร
ถ้าจะมีใครตกเป็นเป้าสังหาร พนักงานสอบสวนคนอื่นๆ ในทีม รวมทั้งตัว พล.ต.อ.เอกเอง ก็คงเป็นเป้าเช่นกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าคนอื่นๆ จะหนีไปต่างประเทศเช่น พล.ต.ต.ปวีณ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี