ล่าสุดที่นายกฯออกมาบอกให้หน่วยราชการออกมาเร่งช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ให้คำนึงถึงปัจจัยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ด้วยเพราะปัจจัยต่างประเทศที่ไม่อาจควบคุมได้ จึงไม่รู้ว่ากว่าจะถึงปลายปีผลกระทบด้านการต่างประเทศที่มีอยู่ตอนนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ทุกถนนการเมืองตอนนี้ก็ยังวิ่งสู่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งใหญ่ ที่ทยอยปรับทัพของแต่ละพรรคใหญ่กันแล้ว เพื่อเตรียมเลือกตั้งต้นปีหน้าหรือปลายปีนี้
หลังจากที่พรรคใหญ่สองพรรคอย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยเพิ่ง จะประชุมใหญ่พรรคไปเมื่อเดือนที่แล้ว จนได้เห็นการปรับภาพครั้งใหญ่ของเพื่อไทย ที่มีธงนำเป็นลูกสาวอดีตนายกฯทักษิณ และประเดิมงานแรกด้วยการช่วยเลือกตั้งสก.กทม. เพื่อหวังกวาดคะแนนคนเมืองและคนรุ่นใหม่ยึดสนามเมืองหลวงกลับมาในการเลือกตั้งใหญ่ พร้อมๆ กับผู้ว่าฯกทม.ที่ไม่ส่งผู้สมัครลงหลีกทางให้ ชัชชาติ หรือไม่? ถือเป็นการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในขณะที่ แชมป์เก่าเมืองหลวงอย่างพลังประชารัฐ จนถึงวันนี้ยังไม่ขยับเปลี่ยนแปลงอะไรในกทม. ขณะที่การเลือกตั้งกทม.ครั้งนี้มีผู้มีสิทธิ์ราว 4 ล้านคน และมีผู้มีใช้สิทธิ์ครั้งแรกราว 6 หมื่น ซึ่งต้องจับตาดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในความเป็นจริงปัญหาหมักหมมของพลังประชารัฐ คือความขัดแย้งภายใน จนนำไปสู่การขยับภายในบ้านหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา จนดูจะอ่อนกำลังลง แต่ล่าสุดการประชุมใหญ่พรรคเมื่อวันก่อน ก็ได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
ต้นกำเนิดของพรรคพลังประชารัฐที่มาจากการรวมตัวของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองในสมัยรัฐบาลคสช. และสามารถดึงตัวนักการเมืองจากหลายพรรคเข้ามาร่วมทีมจนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งปี’62 และยังมีข่าวการดูดสส.จากมุ้งรัฐบาลด้วยกันอยู่เรื่อยๆ แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาความขัดแย้งจากมุ้งต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐที่ได้ก่อตัวสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ที่จะเตรียมเข้าสู่เลือกตั้งครั้งต่อไป
จากการทยอยเดินออกจากพรรคพลังประชารัฐของขุนพลหลัก หลายต่อหลายรอบ ตั้งแต่กลุ่มนายอุตตมะ กลุ่มร้อยเอกธรรมนัส นายเสกสกล จนล่าสุดถึงคิวของนายพีระพันธุ์ ทหารเอกคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยเป็นตัวเต็งในช่วงที่ผ่านมาว่าจะเป็นไม้เด็ดของพรรคก็ถึงเวลาอำลาไป
การที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ตัดสินใจยุติบทบาทในพรรคพลังประชารัฐนั้น นอกจากจะเป็นการตัดสินใจก้าวออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังเป็นการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐด้วย
แน่นอนว่าการก้าวออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ย่อมเกิดกระแสต่างๆ มากมาย แต่ความจริงจะเป็นเช่นไร?
หากประเมินจากคำสัมภาษณ์ของนายพีระพันธุ์ ที่ยืนยันว่าตนเองจะไม่ทิ้งบ้านเมืองไม่ทิ้งประเทศชาติและไม่ทิ้งประชาชน ก็เท่ากับว่าโอกาสที่จะยุติบทบาทย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้
ส่วนจะเป็นการเตรียมตัวที่จะไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นหรือไม่นั้น แม้จะบอกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจไปพรรคการเมืองใดตามที่เป็นข่าว แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ อย่างไรก็ตาม นายพีระพันธุ์ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากพลเอกประยุทธ์อยู่มากและยังคงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับนายเสกสกล ที่ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แต่ขณะที่ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากพลเอกประยุทธ์ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงว่าพรรคพลังประชารัฐอาจมีการแตกสาขา จากการถือกำเนิดขึ้นของสังกัดพรรคการเมืองใหม่ๆ สาเหตุจากยุทธศาสตร์ทางการเมืองหรือเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่ลงตัวของ 3 ป. ก็ตาม ด้วยทิศทางของพรรคการเมืองใหม่บางพรรคที่มีสถานะไม่ได้ขัดแย้งกับพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่แปลกที่พรรคเหล่านั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นพรรคลูกหรือพรรคสำรองของพรรคพลังประชารัฐ
แต่เท่าที่ดูแล้วจนถึงตอนนี้ มีเพียงแค่พรรครวมไทยสร้างชาติเท่านั้น ที่ดูจะถูกมองว่าอาจเป็นหรือใกล้เคียงที่สุด เพราะมีแรมโบ้นั่งแท่นอยู่
ทำให้ตอนนี้มีการตั้งคำถามว่า คนของพลเอกประยุทธ์ กับคนของพลเอกประวิตร เป็นคนละคนกัน แล้วต้องเป็นคนละขั้วด้วยหรือไม่?
ซึ่งการก้าวออกของนายเสกสกลออกจากพรรคพลังประชารัฐ ผิดกับกลุ่มของนายอุตตม และกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัสที่ออกมาอย่างเจ็บปวด
ทิศทางของพรรคสร้างอนาคตไทย แม้จะไม่ได้ออกมาอยู่ตรงข้ามรัฐบาล และยังออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอยู่บ้าง แต่ก็ดูจะไม่ใช่พรรคลูกอย่างที่คิด เช่นเดียวกับพรรคเศรษฐกิจไทยที่มีร้อยเอกธรรมนัสน้องรักของพลเอกประวิตร เป็นแกนนำ
พรรคเศรษฐกิจไทย บ้านหลังใหม่ของร้อยเอกธรรมนัส ที่ตอนแรกก็ยังถูกมองว่าเป็นฐานให้พรรคพลังประชารัฐได้ โดยแม้ล่าสุดจะพบว่าคณะของบิ๊กน้อย หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัสได้ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพื่อพบประชาชนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นการลงพื้นที่ก่อนพลเอกประวิตร ที่มีกำหนดการจะลงพื้นที่พิจิตรเพียงสองวัน และยังเชื่อว่ายังไงกลุ่มร้องเอกธรรมนัสก็ยังเป็นน้องรักพลเอกประวิตรที่ตัดกันไม่ขาดอยู่ดี
แต่ถึงกระนั้น ยุทธศาสตร์จัดการหวยที่นายเสกสกลกำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ก็ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับที่นายเสกสกลกำลังโดนประเด็นคลิปเสียงตอนนี้เช่นกัน ซึ่งแม้จุดเริ่มของสองเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกันแต่จุดจบของสองเรื่องนี้ต้องติดตามต่อไป
อย่างไรก็ตามการลาออกของกลุ่มร้อยเอกธรรมนัสยังส่งผลไม่มากก็น้อยต่อทั้งการจัดการภายในพรรค เพราะร้อยเอกธรรมนัสเป็นอดีตเลขาธิการพรรค มีผลต่อการจัดการในสภาเพราะการเปิดสมัยประชุมที่จะถึงนี้อาจจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและยังรวมถึงการผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี และยังไม่รวมถึง มีผลต่อการจัดการทัพเลือกตั้งที่ภาคอีสานและภาคเหนือ เพราะร้อยเอกธรรมนัสเคยได้รับความไว้วางใจจากพลเอกประวิตรให้ดูแลพื้นที่และดูแลสส.บางส่วนในภูมิภาค ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้พลเอกประวิตรต้องจัดบ้านใหม่ให้ตอบทุกโจทย์รวมถึงสกัดเลือดไหลออกก่อนการเลือกตั้งใหญ่
จึงทำให้การประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 ที่จังหวัดนครราชสีมานายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการเลขาธิการพรรค และนายสุชาติ ชมกลิ่น รักษาการผู้อำนวยการพรรคต่างก็ได้ก้าวข้ามผ่านคำว่า รักษาการ ขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งเชื่อว่าทั้งสองคนจะสามารถแก้ไขปัญหาการเมืองในพรรคและในสภาได้
แต่ตำแหน่งที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารของพรรคพลังประชารัฐแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งก็พบชื่อของอดีตนายทหาร 2 ท่านที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงศ์หรือเสธ.โย และ พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร หรือบิ๊กอี๊ด
การก้าวมาของอดีตนายทหารสองท่านนี้ย่อมนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ ?
พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงศ์ ก็นับเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดหัวหน้าพรรค ทั้งดำรงตำแหน่งอนุกรรมการฝ่ายหารายได้มูลนิธิป่ารอยต่อฯ และยังเป็นอดีตฝ่ายเสนาธิการทหาร ในครั้งที่พลเอกประวิตรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงไม่แปลกที่ พล.อ.กฤษณ์โยธิน จะเป็นบุคคลที่พลเอกประวิตรพอจะมอบความไว้วางใจให้ได้เป็นพิเศษ
และเมื่อมองไปที่ พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร ในฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปัจจุบันรับหน้าที่ประธานอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปกติก็ได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและพบปะกับประชาชนภาคอีสานอยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ในช่วงที่พลเอกประวิตร ลงพื้นที่ในแถบภาคอีสานก็พบว่าพล.อ.ธัญญา เกียรติสาร ได้ติดตามพลเอกประวิตร ในการลงพื้นที่ด้วย
นี่จึงอาจเป็นการเสริมทัพขุนพลภาคอีสาน และตอบโจทย์บางอย่างทางการเมืองที่จะมาแทนที่ร้อยเอกธรรมนัสหรือไม่
สิ่งสำคัญคือ การจัดทัพกทม.ซึ่งถือเป็นฐานคะแนนหลักของพลังประชารัฐในปี’62 แต่ความพร้อมจะมีมากเพียงใดนั้น ยังคงเป็นคำถาม โดยการเลือกตั้งสก.กทม.รอบนี้ รวมถึงผู้ว่าฯกทม. ว่าใครจะได้ไป อาจจะสะท้อนผลการเลือกตั้งสส.ในอนาคตของพรรคพลังประชารัฐ เพราะการเลือกตั้งซ่อมที่เขตหลักสี่ที่พลังประชารัฐแพ้ราบคาบเมื่อต้นปี และล่าสุดก็ยังคงระส่ำอยู่จากการที่ประธานยุทธศาสตร์หาเสียงคนใหม่อย่างนางนฤมล ไม่สะดวกที่จะรับตำแหน่ง นายอภิชัยเตชะอุบล ผู้อำนวยการศูนย์การเลือกตั้งสก. พรรคพลังประชารัฐ จึงยกเลิกคำสั่ง และรับภาระหน้าที่ร่วมกับผู้สมัครไว้เอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกกับทีมกทม.พลังประชารัฐ
อาจถึงเวลาที่พลเอกประวิตรต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ของกทม.หรือไม่
“ในโลก นอกจากชื่อเสียง สมบัติ และสตรี
ยังมีอันใดสร้างความหวั่นไหวใจแก่บุรุษยิ่งกว่า”
ซาเสียวเอี้ย จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี