คดีดังที่สื่อส่วนใหญ่ทุ่มเทความสนใจให้ทั้งหมดในเวลานี้ คอลัมน์นี้ ถือว่านี้เป็นคดีเล่นงานทางการเมือง ที่ฝ่ายตรงข้ามมีเป้าหมายทำลายสิ่งที่เหนือกว่าผู้ต้องหาซึ่งเกินความคาดหมายของคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบอะไรที่อ่อนไหวหรือ หวือหวาและให้ความเมตตาแก่ผู้ตกเป็นเหยื่อ
หากสังเกตให้ดี ทนายที่ออกมาเปิดประเด็นนี้ ไม่ได้เน้นไปที่ผู้ต้องหา แต่เน้นให้ความสำคัญไปที่บิดาของผู้ต้องหา โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้มีอิทธิพล มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่ทั้งในประเทศไทยและในสหประชาชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ ที่ทำให้เหยื่อผู้ถูกคุกคามทางเพศนับร้อยรายไม่กล้าไปแจ้งความไม่กล้าดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคนนี้
“น้องอายุ 18 ปี ที่ถูกลวนลามถูกคุกคามทางเพศ รู้ว่าผู้ต้องหาเป็นลูกใครจึงไม่กล้าไปแจ้งความในตอนแรกไม่กล้าไปดำเนินคดีกับผู้ต้องหาสำคัญคนนี้..” นายษิทรา เบี้ยบังเกิดผู้เปิดประเด็นข่าวสะเทือนวงการเมืองกล่าวไว้ในตอนหนึ่งของการเปิดแถลงข่าว
ก่อนแถลงข่าวกับสื่อมวลชน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ทนายตั้มเป็นทนายความที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ให้กับสื่อมวลชนมากกว่าใช้เวลาว่าความในศาล ได้ใช้โซเชียลมีเดีย แฉพฤติกรรมต่างๆ นานาของผู้ต้องหาและมีหลายครั้งเรื่องที่ทนายตั้มแฉออกมาหาใช่เป็นความจริงทั้งหมดไม่
คดีดังที่ นายษิทรา พยายามทำให้เป็นข่าวใหญ่ เขาได้พูดเลยเถิดไปถึงความเลวร้ายของผู้ต้องหา และกล่าวหาว่าบิดาผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล ก่อนที่ผู้ที่อ้างว่า เป็นเหยื่อจะให้การกับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการลวนลามและคุกคามทางเพศ และก่อนที่กระบวนการยุติธรรมได้ทำการสอบสวน หรือเปิดปากพูดอะไร ทำให้เพื่อนร่วมอาชีพทนายความด้วยกันเกิดความสงสัยและเกิดความห่วงใยในความปากไวของนายษิทรา
นายประทีป นวลเศรษฐ ทนายความมืออาชีพโพสต์ข้อความสั้นๆ ว่า “งานนี้อาจมีทนาย และผู้เสียหาย (บางคน)ติดคุก”
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง โพสต์คลิปแสดงความเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊ค “ทนายคลายทุกข์” ว่า ภายหลังมีกระแสข่าวอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จ่ายเงินให้เหยื่อหวังจบคดีนั้น
ประเด็นนี้ อยากจะเรียนว่าคดีอนาจาร หรือคดีข่มขืน เท่าที่ตนเองเคยมีประสบการณ์มา เป็นคดีส่วนตัว ถ้าไม่ได้ทำต่อหน้าธารกำนัลส่วนใหญ่ถ้าเคลียร์กันเรื่องก็จบ
คนอื่นที่กำลังเชียร์กันอยู่นั้น ทำไปทำมาจะกลายเป็น...หอนกันไป...กันไปหมด อาหารเม็ดเยอะแยะมากมาย เดี๋ยวหลายๆ คนจะได้กินอาหารเม็ด เพราะคดีพวกนี้ เป็นคดีที่เกิดในที่ลับ เป็นเรื่องของคนสองคนนะครับ ส่วนผู้เสียหายต่างๆ เหตุเกิดมานานแล้ว 5 ปี 10 ปี หรือ3-4 ปี ที่ทำในที่ลับทั้งหลาย มันขาดอายุความหมดแล้ว การจะมาแจ้งความ หรือให้สัมภาษณ์สื่อต้องระวัง เพราะถ้าผู้ต้องหาเอาเรื่องขึ้นมาก็อาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จ หรือหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา”
ทนายเดชา ระบุ ขอย้ำว่า คดีพวกนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน จึงอยากฝากไว้เป็นข้อคิด แต่ส่วนตัวเห็นใจเหยื่อทุกคน แต่ว่าคดีประเภทนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเคลียร์กันลับหลัง แล้วคนอื่นจะกลายเป็น...
ส่วน นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีต สส.ปชป.และคณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โพสต์ข้อความสั้นๆ ว่า “ผู้หญิงบางคนไม่ใช่เหยื่อแต่เป็นเสือที่ล่าเหยื่อเมื่อแปรพักตร์”
ทั้ง ทนายเดชา ทนายประทีป และนายบุญยอดสุขถิ่นไทย ไม่ได้หมายความว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ทำความผิดตามข้อกล่าวหา แต่ออกความเห็นทางกฎหมาย และสังคมว่าการกล่าวหารุนแรงในที่สาธารณะก่อนที่กระบวนการยุติธรรม ยังดำเนินคดีไม่ถึงสุด ผลร้ายอาจเกิดขึ้นกับทนายผู้ใส่ร้ายผู้ต้องหาและบิดาของเขา ส่วนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถ้าไม่มีพยานหลักฐานหรือคดีหมดอายุความไปแล้วอาจมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้
ฝ่ายผู้ต้องหาที่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำความผิดตามข้อกล่าวและยินดีเข้าสู่กระบวนยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความจริงนั้นทำถูกแล้วที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากหน้าที่การงานทั้งหมด ตลอดถึงลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแต่ถึงอย่างไรก็ตามบัดนี้เกียรติภูมิและชื่อเสียงของผู้ต้องหา ได้เสียหายจนเกินการแก้ไขฟื้นฟูได้แล้วคือหมดอนาคตทางการเมืองตั้งแต่วันที่ถูกกล่าวหา
แต่สิ่งที่น่าเสียใจและน่าเสียดายคือความเสียหายได้ลุกลามไปถึงผู้เป็นบิดาของผู้ต้องหาคดีดังในเวลานี้
คอลัมน์ทวนกระแสข่าวที่ติดตามข่าวการเมืองมากว่าสี่สิบปีให้น้ำหนักการทำลายทางการเมืองในครั้งนี้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม อยู่ที่ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงด้อยค่าของบิดาผู้ต้องหา มากกว่าจะเอาเป็นเอาตายกันในเรื่องคุกคามทางเพศ
ต้องยอมรับความจริงว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลนผู้นำรัฐบาลที่ทันโลก ทันการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมโลก ประเทศไทยขาดแคลนผู้นำรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ขาดแคลนผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก ประเทศไทยขาดแคลนผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการเชื่อถือจากนานาชาติ
แต่บิดาของผู้ต้องหาคดีดัง เป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่ได้รับความชื่นชมจากนานาชาติในความสามารถทางเศรษฐกิจระดับโลก ที่หลายคนตั้งเป้าหมายว่า #ท่านมีศักยภาพที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งได้
บิดาของผู้ต้องหาคดีดัง เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ในทางนักการเมืองเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลเศรษฐกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นนักวิชาการชาวไทย ที่ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษหลายสถาบัน เป็นประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO)...
การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย อาจมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้าหรืออย่างช้าก็ต้นปี 2566 ผู้เขียนฟันธงไว้ล่วงหน้าว่าในการเลือกตั้งทั่วไป จะไม่มีคำว่าแลนด์สไลด์ คือไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากพอที่จัดตั้งรัฐบาลได้ ประกอบกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปยังอยู่ในระยะเวลาบังคับใช้ บทเฉพาะกาลห้าปี ที่ให้อำนาจ สว. 250 คนร่วมลงมติเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในรัฐสภากับ สส.ที่มาจากการเลือกตั้งได้
และบทเฉพาะกาลยังบัญญัติว่าหากสส.ในสภา ไม่สามารถตกลงกันได้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้สภาเสนอคนภายนอก เป็นนายกรัฐมนตรี ที่สส.และสว. ลงมติรับรองด้วยเสียงข้างมาก
ดังนั้น บิดาของผู้ต้องหาคดีดัง คือ หนึ่งในเป้าหมายที่พรรคการเมืองหมายตาไว้ว่า จะเสนอให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถ้าสถานการณ์และเงื่อนไขอำนวยให้
แต่เมื่อเกิดคดีดังขึ้นมามีข้อครหากับลูกชาย ความหวังที่เมืองไทยจะได้คนดีมีความสามารถมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติอาจเปลี่ยนไป
ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจึงตีถูกจุดถูกเป้าหมายที่ทำลายลูกชาย แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะกระเทือนถึงบิดา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี