นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งการเมืองก็จะยิ่งเข้มขึ้นมากขึ้น อะไรที่อาจส่งผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้งจะปรากฏให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจึงจะเข้าสู่เส้นชัยในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แบบพอดี เพราะหลังจากนี้จะเป็นการนับถอยหลังเข้าสู่ศึกเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้าหรืออาจจะปลายปีนี้?
จึงไม่แปลกที่จะเห็นพรรคการเมืองแต่ละพรรค ขยับตัวสร้างทีมปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยบริบทและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บวกกับกติกาการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ รอบนี้หากสถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปหลังเลือกตั้งเราอาจจะได้เห็นพรรคแบบสส.คนเดียวน้อยลง หรืออาจไม่เหลือเลย พรรคขนาดกลางอาจจะหายไป แต่อาจจะกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ 3 พรรค ที่เหลือเป็นพรรคขนาดเล็ก และพรรคขนาดเล็กมาก
อาจเป็นโอกาสดีของประชาชนที่จะได้มีตัวเลือกที่ชัดเจนมากขึ้น และพรรคการเมืองเองก็ต้องปรับตัวเองให้เป็นสถาบันที่ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้นเพื่อรักษาสถานะทางการเมืองของตนเองต่อไป
พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ในตอนแรกมีกระแสข่าวออกมาว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรืออาจมีควบรวมพรรค แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือ เพราะหลังจากงานประชุมใหญ่สามัญของพรรค ก็ได้ประกาศเป้าหมายสำคัญว่าจะสลัดภาพพรรคท้องถิ่น เพื่อเข้าสู่การต่อสู้กับทุกกติกาและประกาศตั้งเป้า สส. 25 ที่นั่ง ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเมื่อการเลือกตั้งปี’62 ถึงเท่าตัว แต่ถ้าจะเดินหน้าต่อ เป้าหมายนี้ก็ไม่น่าจะเกินกำลัง
พรรคที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็นพรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่แม้จะไม่ได้ส่งตัวแทนจากพรรคร่วมวงศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นพรรคที่มีฐานสส.อยู่ครบทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลางและภาคอีสานตอนใต้ จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งสส.ปี’62 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นปีที่แล้วทั้งนายกอบจ.และเทศบาล ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแย่งฐานคะแนนเสียงจากพรรคภูมิใจไทยตอนนี้ไปได้ง่ายๆ
จริงอยู่ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทย ถูกมองว่าเป็นพรรคที่ไม่มีพิษมีภัยเป็นมิตรกับทุกฝั่ง และยังไม่ถือว่าเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่จึงยังไม่ใช่ตัวแปรสำคัญมาก แต่ครั้งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น
เชื่อว่า เป้าหมายหลักของพรรคภูมิใจไทย คือการก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดจากพรรคการเมืองขนาดกลางไปสู่การเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เพื่อหวังปักธงในการเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเอง
จึงไม่แปลกที่ล่าสุดเราจึงได้เห็นนายอนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ประกาศกร้าวในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าตั้งเป้าจะคว้า สส. เกิน 100 ที่นั่ง แม้จะเป็นเป้าหมายที่สูง แต่ถ้าเจาะกันจริงๆ ก็อาจไม่ได้ไกลเกินที่ตั้งเป้า รวมถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั่นคือการมองไปถึงการวางตัวเป็นทางเลือกที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีบนสถานการณ์การเมืองที่มีปัจจัยบางอย่างเอื้อให้เป็นแบบนั้นเสียด้วย
ดังนั้นการที่กล่าวว่า จะส่งหัวหน้าพรรคลงชิงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งโอกาสที่คนจากพรรคภูมิใจไทยจะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ ที่ผ่านมาแม้จะมีความเป็นไปได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยโดยเฉพาะครั้งนี้
อย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทย ก็ทำตัวเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดูดเหล็กต่างขั้วให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับตนเองไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย แม้ในสมัยสภาฯ นี้ก็ยังสามารถดึง สส.จากทั้งสองฝั่งที่โดนขับออกจากพรรคหรือยุบพรรคเข้ามารวมอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันได้ รวมถึงข่าวที่มีมาตลอดว่าอาจมีสส.ย้ายมาเข้าสังกัดภูมิใจไทยอีกมากก่อนการประกาศวันเลือกตั้งสส.? เพราะเสน่ห์แห่งความเป็นมิตรกับทุกฝ่ายทำให้หลายคนที่จะย้ายเข้ามาสามารถมีโอกาสจะได้เป็นสส.ซีกรัฐบาลไม่ว่าแกนนำจะเป็นใครก็ยังมีโอกาสตีตั๋วรัฐมนตรีต่อได้
ยังไม่รวมถึง ความไม่ชัดเจนของบรรดาพรรคลูกของพรรคพลังประชารัฐว่าจะยังไงกันแน่ พรรคภูมิใจไทยจึงได้กลายเป็นอีกเป้าหมาย แม้กับสส.พรรคพลังประชารัฐก็ตาม
แต่ว่ากันตามตรงในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ พรรคภูมิใจไทยก็จะยังคงพบอุปสรรคสำคัญจากกติกาการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ทำให้ต้องยิ่งผลักดันตนเองให้เป็นสถาบันการเมืองมากขึ้นไปอีก การวางเป้ามากกว่า 100 สส. จึงจำเป็นพอๆ กับการประกาศจะไปยึดภาคใต้
สำหรับพรรคใหญ่สองพรรคท่ีอยู่ฝั่งตรงข้ามกันทั้งในการเลือกตั้งเมื่อปี’62 และต้นปีหน้า พรรคพลังประชารัฐที่มาวันแรกก็เป็นพรรคขนาดใหญ่เลย มาวันนี้จึงเป็นบทพิสูจน์การก้าวผ่านสู่การเป็นสถาบันการเมืองว่าจะสามารถไปถึงฝันได้ไหมที่วันนี้ต้องยอมรับว่าการปรับโครงสร้างที่ผ่านมาก็ยังมีภาพไม่ชัดว่าพรรคจะมุ่งหน้าไปทางใด เชื่อว่าหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.พรรคพลังประชารัฐน่าจะขยับอะไรครั้งใหญ่อีกครั้งก่อนเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งปีหน้าซึ่งจะได้กล่าวในตอนต่อๆ ไป
แต่พรรคที่เป็นพรรคขนาดใหญ่ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้อีกพรรคก็คือพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านการยุบพรรค การเปลี่ยนหัวหน้าพรรค การเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน มาถึงตอนนี้กำลังปรับตัวไปอีกขั้นหรือบ้างกลับมองว่าย่ำอยู่กับจุดยืนเดิม
อะไรคือจุดเปลี่ยนอะไรคือจุดเดิม?
ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยได้ประโยน์อย่างมากกับกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบมาโดยตลอด ครั้งนี้จึงดูเหมือนอากาศจะกลับมาเข้าทางอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในการข้ามยุคสมัย กับการเข้ามามีบทบาทของลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ในบทบาทหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยด้วยแล้ว ก็ถือว่าส่งผลต่ออนาคตเพื่อไทยไม่น้อย
ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยก็เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่ประสบกับปัญหากระแสเลือดไหลออกพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการย้ายข้ามพรรคไปจนถึงย้ายข้ามขั้ว แต่ไม่ว่าเลือดจะไหลไปที่ใด สุดท้ายก็คือเลือดไหลอยู่ดี
การผลักดันของคนเพื่อไทยให้แพทองธาร บุตรสาวอดีตนายกฯทักษิณก้าวเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นอกจากจะถูกมองเป็นการห้ามเลือดของขุนพลเพื่อไทยแล้ว ยังจะเป็นการส่งสัญญาณเรียกบรรดาศิษย์เก่าไทยรักไทย ให้กลับเข้าสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง
และเป็นการประกาศโดยนัยว่าในการเลือกตั้งเวทีใหญ่ครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ และพร้อมเดิมพันในทุกกรณี โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะชนะแบบแลนด์สไลด์ ตามที่ได้มีการย้ำเจตนารมณ์การประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเพื่อไทยได้มีการเปิดนโยบาย 5 ด้านเพื่อหวังดึงคะแนนจากประชาชน
ในการปราศรัยมีทั้งการพูดถึงเรื่องราวในอดีต โดยกล่าวว่า นโยบายของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายที่กินได้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการเรียกคะแนนจากฐานเสียงยุคดั้งเดิมหรือไม่ ? ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการพูดถึงการให้โอกาสคนรุ่นใหม่อีกด้วย
นี่จึงเป็นอีกเป้าหมายที่เพื่อไทยจำเป็นต้องเอาแพรทองธาร ขึ้นมาชูเพื่อดึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ที่เคยหลุดไปเมื่อปี’62 ให้กับอนาคตใหม่ เรียกคืนกลับมาสู่เพื่อไทยอีกครั้ง ? เพื่อเดินเกม
แลนด์สไลด์แบบสุดตัว เก็บตกทุกคะแนน
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการตั้งคำถามว่าหัวหน้าครอบครัว และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างหมอชลน่าน ใครจะเป็นศูนย์รวมจิตใจที่แท้จริงกันแน่ ?
แม้การเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคเต็มตัวของแพทองธารจะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อคะแนนเสียงเพื่อไทย แต่ก็อาจทำให้เกิดคำถามว่า แบบนี้พรรคเพื่อไทยจะก้าวผ่านอดีตนายกทักษิณสู่การเป็นสถาบันการเมืองเต็มตัวของตนเองได้ยากขึ้นหรือไม่ ?
ก็ต้องดูกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสไปได้ถึงการชนะแบบแลนด์สไลด์ตามที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ ?
เพราะอย่าลืมว่าในขณะนี้ ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะต้องถูกลดสัดส่วนลง จากการที่ฐานเสียงถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน
แม้การก้าวขึ้นมาของพรรคก้าวไกล ที่ทดแทนพรรคอนาคตใหม่จะไม่ได้หวือหวาเท่าสมัยนายธนาธร แต่ที่ผ่านมาก็ถือว่าสามารถสร้างฐานกลุ่มแฟนคลับพรรคจากฐานคนรุ่นใหม่ได้อย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ทำให้การเลือกตั้งซ่อมกรุงเทพฯ เขตจตุจักร – หลักสี่ พรรคก้าวไกลได้คะแนนไปไม่น้อยและมากกว่าที่หลายคนคาดไว้ แต่พอมาวิเคราะห์สถานการณ์และยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและการวิเคราะห์กติกาเลือกตั้งเป็นแบบบัตรสองใบ ก้าวไกลก็อาจยังไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับเพื่อไทยมากเท่าไรนัก
แม้พรรคก้าวไกลจะมีภาพลักษณ์ด้านอุดมการณ์ที่ชัดเจน แต่การที่พรรคก้าวไกลที่ไร้แม่เหล็กในการดึงดูดมวลชนอย่างสามอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร นายปิยบุตร รวมถึงนางสาวพรรณิการ์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนอย่างไร เพียงพอจะเป็นที่ 1 ในเขตหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เพียงพอที่จะรวมคะแนนบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่ง
แต่ถ้าหากได้สส.ไม่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม โอกาสที่จะอยู่ในสมการการเมืองหลังเลือกตั้งก็จะเป็นไปได้ยากด้วย ที่จะต่อรองแม้กระทั่งกับเพื่อไทย สถานการณ์เช่นนี้จึงเชื่อว่าจะกดดันให้พรรคก้าวไกลน่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างก่อนการเลือกตั้งต้นปีหน้าเพราะด้วยสถานการณ์ภายในก้าวไกลตอนนี้เองที่ทั้งบุคคลอันเป็นแบรนด์พรรคหรืออำนาจในการบริหารพรรคที่ดูแล้วไม่ชัดเจนอาจเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังประสบกับพายุฝนอยู่หรือไม่ ?
มรสุมจากการที่ปัญหาระดับบุคคล ที่กำลังลุกลามไปสู่ปัญหาระดับองค์กร
จึงนับเป็นงานที่ยากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในการทวงพื้นที่สนามกรุงเทพฯ คืนมา ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลหนักคือ ผู้สมัครรวมถึงอดีตสส.กทม.ของพรรค รวมถึงปัญหาเลือดไหลที่ดูแล้วจะไม่สามารถแก้ได้โดยเร็ว
ล่าสุดนี้เองพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเผชิญกับปัญหาเลือดไหลไม่หยุด แต่ในครั้งนี้นับเป็นการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญของพรรคอย่างนายวิทยา แก้วภราดัย ที่แม้ไม่มีตำแหน่งบริหารในปัจจุบันและไม่ได้เป็นสส.แต่ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยาวนาน ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ภายในพรรค การอำลาพรรคของนายวิทยาจึงถูกสื่อหลายสำนักจับจ้องเป็นพิเศษ แต่ก็คงไม่ใช่เพราะความเป็นพี่ใหญ่ในพรรคเท่านั้น
สิ่งที่ถูกโฟกัสอีกหนึ่งสิ่งคือ ข้อความทิ้งท้ายของนายวิทยา ที่ได้กล่าวไว้
แต่เรื่องราวดูจะไม่ได้จบแค่นั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องพบกับการลาออกจากการเป็นรองหัวหน้าพรรคของนายกนก วงษ์ตระหง่าน ลามมาถึงกรรมการบริหารพรรค นางมัลลิกาบุญมีตระกูล มหาสุข ก็ได้ยื่นหนังสือลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงนางสาวอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ แต่ในรายหลังแม้จะเซ็นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรคแล้ว แต่ด้วยความที่เกรงว่าจะกระทบต่อสนามการเลือกตั้ง จึงเตรียมยื่นหลังจบศึกเลือกตั้งเวทีกรุงเทพฯ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกรรมการบริหารพรรคบางส่วนที่ยืนยันว่าพร้อมที่จะทำงานต่อ
คลื่นพายุนี้กำลังท้าทายสถาบันการเมืองที่มีมาอย่างยาวนานคู่การเมืองไทยอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในพรรคนี้มาตลอดทุกยุคทุกสมัย ครั้งนี้หลายฝ่ายจึงยังเฝ้าจับตาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะฝ่าพายุฝนครั้งนี้ไปทางใด จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้ทันก่อนการเลือกตั้งต้นปีหน้าหรือไม่?
อนาคตของประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร ผลของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯในครั้งนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยด้วย หากผลการเลือกตั้งกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ดร.สุชัชวีร์ ไม่สามารถปักธงชัยในสนามได้ หรือได้คะแนนน้อยกว่าที่คาด การสูญเสียของพรรคประชาธิปัตย์อาจไม่หยุดแค่นี้ จึงนับเป็นสิ่งกดดันฝ่ายบริหารไม่น้อย
รวมถึงสนามภาคใต้ ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นเจ้าแห่งเวทีมาโดยตลอดก็อาจไม่เหมือนเดิม เพราะขณะนี้ภาคใต้อาจไม่ใช่ดินแดนของประชาธิปัตย์พรรคเดียวต่อไป เพราะทั้งพลังประชารัฐและภูมิใจไทย ที่ได้เจาะไข่แดงได้รอบที่ผ่านมา กำลังรุกอย่างหนักและวางเป้ายึดภาคใต้ไว้อีกเช่นกัน ยิ่งในสถานการณ์ที่เจ้าถิ่นอย่างพรรคประชาธิปัตย์กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่ในขณะนี้
การที่ทุกพรรคเริ่มขยับตัวแม้การเลือกตั้งจะอยู่อีก 8 เดือนข้างหน้าก็ตาม การออกตัวก่อน อาจไม่ได้การันตีความได้เปรียบ แต่อย่างน้อยการออกตัวจากจุดเริ่มต้นเป็นลำดับแรกๆ ก็น่าจะสร้างความได้เปรียบต่อคู่แข่งที่ออกตัวช้าอยู่บ้าง
“ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คล้ายเป็นน้ำป่า ยามเมื่อทะลักลงมา จะไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมบังคับได้ กระทั่งตัวเองก็ไม่อาจ ดังนั้น มักใหญ่ใฝ่สูง มิเพียงทำลายผู้อื่นเท่านั้น ยังทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน และมักจะทำลายตัวเองก่อนที่ได้ทำลายผู้อื่นเสมอมา แต่ทว่า หากมนุษย์เราไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยสิ้นเชิง ชีวิตไยมิใช่ชืดชาไร้รสชาติยิ่ง
นี่ไยมิใช่ เป็นโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษย์เรา”
เหยี่ยวเดือนเก้า จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี