ยังไม่ทันได้เปิดศึกเลือกตั้ง แต่กลับมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมนายกฯสำรองในกรณีที่พลเอกประยุทธ์ อาจต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยปัจจัยทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลในเรื่องของนายกฯ 8 ปี ซึ่งในสมัยประชุมสภาที่จะเริ่ม25 พฤษภาคมนี้ ก็จะรู้ว่าเป็นอย่างไร รวมถึง การผ่านพ.ร.บ. งบประมาณและศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า ปัญหาภายในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐจะทำให้เกิดผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หรือไม่ ที่สำคัญคือ บารมีพลเอกประวิตรจะยังเหนียวแน่นอยู่ดังเดิม
หรือไม่?
เมื่อมองตามหน้าข่าวที่ปรากฏ ชื่อของพลเอกประวิตร ก็เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดว่าจะมารับผิดชอบในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฯในยามฉุกเฉิน อาจเพราะด้วยความที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสว่าพรรคหลักจะเสนอให้พลเอกประวิตร และแต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่นั้นคงต้องดูปัจจัยอื่นประกอบ?
เพราะเอาเข้าจริงกระแสข่าวเรื่องนายกรัฐมนตรีฉุกเฉิน เริ่มออกมาในจังหวะที่มีกระแสข่าวถึงรอยร้าวระหว่างพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร แต่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองก็ไม่เคยได้เปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่ออย่างจริงจัง
กระแสข่าวดูรุนแรงและโหมขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพลเอกประวิตร ก็ได้ออกมายืนยันว่าด้วยตนเองว่า ไม่มีใครล้มนายกฯอีกทั้งไม่ได้คิดถึงเรื่องการเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมว่า จะอยู่แบบนี้จนกระทั่งจบ และในวันเดียวกันนั่นเองพลเอกประยุทธ์ก็ได้ตอบกลับกระแสข่าวล้มนายกรัฐมนตรีด้วยการให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า หากล้มแล้วมีอะไรดีขึ้นมา ล้มได้ก็ล้มไป
แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร เพราะแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ป.ปลา จะยังไม่เป็นปัญหา แต่ความอยู่รอดของรัฐบาลไม่อาจขึ้นอยู่กับพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรเพียงเท่านั้น เพราะปัจจัยสำคัญยังมี สมรภูมิภายในสภาผู้แทนราษฎร ที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลโดยตรง ท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่พรรคร่วมด้วยกันเอง
เมื่อมองไปที่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำทัพของนายจุรินทร์ ที่ในตอนนี้กำลังเจอมรสุมอย่างหนักหน่วง ที่อาจลุกลามจากปัญหาระดับบุคคลไปเป็นวิกฤตศรัทธา และทำให้เกิดปัญหาสั่นคลอนภายในพรรค จึงน่าจะเป็นไปได้ยากที่จะมีความคิดล้มกระดานพลเอกประยุทธ์ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ เพราะจะส่งผลต่อโอกาสที่ตนเองจะกอบกู้ศรัทธาตามที่ได้ตั้งใจไว้
แม้พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ในสภาพที่บอบช้ำ จากภาวะสั่นคลอนภายใน แต่ด้วยสถานะของพรรคร่วมก็น่าจะช่วยประคองเสถียรภาพของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้ดี แต่ว่ากันตามตรงพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ใช่กำลังพลหลัก
พรรคภูมิใจไทย ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งการที่มี สส. จากพรรคการเมืองต่างสังกัดไหลเข้าร่วม รวมถึงพัฒนาการของพรรค ที่ส่งผลให้อิทธิพลของภูมิใจไทย
เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลับส่งผลดีไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลต่างจากประชาธิปัตย์ แต่ก็ยังมีเรื่องกฎหมายลูกเลือกตั้งที่ยังคิดต่างกันบางส่วนอีกหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามพลเอกประยุทธ์สามารถวางใจได้ในระดับหนึ่ง กับเสียงสนับสนุนของรัฐบาลว่าน่าจะเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง เพราะในตอนนี้หากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะฝากความหวังไปที่พรรคพลังประชารัฐเพียงพรรคเดียวก็คงไม่เหมือนในอดีตเมื่อสองปีแรก เพราะแม้พรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาลแต่ตอนนี้ปัจจัยภายในพรรค รวมถึงกลุ่มการเมืองที่แตกออกมาอาจกำลังเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ง่ายอีกต่อไป
ภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ก็ยังต้องพบเจอกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังยากที่จะแก้ และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจัดระเบียบเชิงโครงสร้างจะไปสิ้นสุดเมื่อใด? เพราะล่าสุดนี้ก็พบรอยร้าวภายในเพิ่มเติมจากสมาชิกที่เพิ่งเข้าสังกัดพรรคปลายปีที่แล้ว ส่วนจะเป็นใคร? เรื่องอะไร? ลองไปหาคำตอบกันดู แต่ที่แน่ๆหากเสถียรภาพภายในพรรคไม่นิ่งพอ ก็ยากที่พรรคพลังประชารัฐจะแบกรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เพียงลำพังแบบเดิม
อีกทั้งแรงสนับสนุนที่เคยมีอยู่มากมายกลับต้องลดลงไปมากพอสมควร จากการที่ก่อนหน้านี้พรรคพลังประชารัฐก็ต้องพบกับการสูญเสียกำลังพลภายใน จากการขับกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัส
ออกจากพรรค ซึ่งก็ต้องยอมรับตามตรงว่าการขับร้อยเอกธรรมนัสในครั้งนั้นเป็นสาเหตุของผลกระทบหลายๆ อย่างที่ตามมา
ก็ไม่รู้ว่าการไม่มีร้อยเอกธรรมนัส จะเป็นบวกหรือลบต่อการบริหารภายในพรรคอย่างที่คิดไหม แต่สำหรับในสภาฯไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็ไม่อาจไว้วางใจมิตรต่างสังกัดได้มากเท่าที่ควรหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้พลเอกประยุทธ์ก็คงทราบดี และอาจสร้างความรู้สึกไม่สบายใจให้พลเอกประยุทธ์อยู่บ้าง
เพราะเมื่อมีการพาดหัวเป็นว่าเล่นถึงเกมล้มเก้าอี้นายกฯร้อยเอกธรรมนัสก็ไม่วายถูกจับมาเชื่อมโยงอยู่เสมอ ทั้งตอนสังกัดอยู่พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคเศรษฐกิจไทย แม้จะมีกระแสข่าวเรื่องร้อยเอกธรรมนัส เตรียมล้มโต๊ะพลเอกประยุทธ์ พร้อมทั้งชูพลเอกประวิตรเป็นนายกหากเกิดสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประวิตรก็ไม่น่าจะส่งผลด้านบวกโดยตรงต่อร้อยเอกธรรมนัสและพรรคเศรษฐกิจไทยในการลุยศึกเลือกตั้งมากเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้โจทย์หลักของพรรคเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่การล้มรัฐบาลแต่อย่างใด
แม้พรรคเศรษฐกิจไทยจะยังคงต้องละไว้ว่าจะเดินเกมไปในทิศทางใด? จะเป็นพรรคที่เดินเกมรูปแบบอิสระตามโดยแท้จริงหรือต้องเดินเกมตามพรรคพันธมิตร? แต่อย่างไรก็ตามในสายตา
ของประชาชนก็ยังมองพรรคเศรษฐกิจไทยก็ยังอยู่ในบทบาทของพรรคที่แตกหน่อจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็นับเป็นโจทย์หลักที่ทางพรรคเศรษฐกิจไทยต้องแก้ ก่อนที่จะศึกเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง
และเอาเข้าจริงพรรคเศรษฐกิจไทย แม้จะเป็นพรรค ที่อดีต สส. จากค่ายพลังประชารัฐย้ายเข้าไปสังกัดอยู่ และยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ในสนามการเลือกตั้งจริงๆ และหากมองไปที่ผลงาน ก็ยังไม่มีผลงานในชื่อของพรรคเศรษฐกิจไทยมากเท่าที่ควร
จึงเป็นที่มาของการทาบทามนายมิ่งขวัญและนายธีระชัยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเข้าสู่พรรค ซึ่งในเรื่องนี้พลเอกวิชญ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีเซอร์ไพรส์เพิ่มเติมแน่นอน และจะเป็นทีมงานด้านเศรษฐกิจที่ดี งานหลักในตอนนี้จึงไม่น่าจะใช่การล้มรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หรือไม่?
หรือหากความต้องการที่จะคว่ำโต๊ะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ของร้อยเอกธรรมนัสที่ปรากฏตามหน้าสื่อนั้นเป็นจริง ตัวแปรสำคัญของพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ไม่น่าใช่ร้อยเอกธรรมนัส เพราะในความเป็นจริงคนที่กุมบังเหียนพรรคเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีร้อยเอกธรรมนัส เพียงคนเดียวแต่มีพลเอกวิชญ์ในฐานะผู้นำของพรรคอีกด้วย ท่าทีของพรรคพลังเศรษฐกิจไทย จึงไม่น่าจะยึดโยงกับร้อยเอกธรรมนัสได้ทั้งหมด
ถึงต่อให้ท่าทีของพรรคเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับร้อยเอกธรรมนัสเป็นส่วนมาก แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์ จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่าร้อยเอกธรรมนัสเตรียมที่จะไปรับประทานอาหารร่วมกับรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งในเรื่องนี้พลเอกประวิตรก็ได้กล่าวว่า เขาไม่ไปหรอก แสดงให้เห็นว่าแม้ร้อยเอกธรรมนัสจะย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทยแล้ว แต่ก็ยังมีความเคารพพลเอกประวิตรอยู่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ ?
ไม่เพียงพรรคเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่ในตอนแรกดูมีแนวทางไม่ชัดเจนจนที่น่าจะสร้างความกังวลให้กับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ แต่ยังมีพรรคเล็กที่ในตอนแรกดูแตกแถวและน่าจะมีท่าทีที่คาดเดาไม่ได้ก็อาจเป็นปัญหาด้วย แต่เมื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐคนปัจจุบัน ได้เข้าไปร่วมวงพูดคุยและทำความเข้าใจใหม่เมื่อไม่นานนี้ ก็น่าจะทำให้ความเข้าใจกันที่คลาดเคลื่อนกลับมาตรงกันอีกครั้งหนึ่ง?
สถานการณ์ภายในพรรคใหญ่แต่ละพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดในฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม แม้จะมีตึงๆ กันบ้างขัดแย้งกันบ้าง แต่ดูแล้วน่าจะอยู่ในกรอบที่ยังเดินร่วมต่อไปกันได้ จึงไม่แปลกที่
พลเอกประยุทธ์จะมั่นอกมั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลเป็นพิเศษว่าจะอยู่ช่วยกันจนจบ เพราะยังมีจุดร่วมสำคัญหรือกุญแจแห่งความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือกฎหมายลูก ที่เป็นทั้งตัวเชื่อมรัฐบาลและฝ่ายค้านบางพรรค
ที่ว่าบางพรรคเพราะเพื่อไทยคิดต่างจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นทั้งหมดในเรื่องบัตรสองใบ รวมถึงก้าวไกล
ท่าทีของฝ่ายค้านต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด แม้จะมีการกดดันให้รัฐบาลมีการยุบสภาฯ อย่างสามัคคี แต่ความจริงจะเป็นอย่างนั้นหรือ?
หากว่าด้วยเรื่องของความพร้อมพรรคก้าวไกลเองหากยุบตอนนี้ก็ยังดูไม่มีความพร้อมมากสักเท่าไหร่นัก เอาเข้าจริงพรรคก้าวไกลภายใต้การนำของพิธายังคงเป็นเครื่องหมายคำถามว่า
นายพิธาจะเป็นผู้นำที่ใช่สำหรับ ก้าวไกลจริงหรือ? หลังแกนหลักของพรรคอนาคตใหม่อย่างนายธนาธร นายปิยบุตร นางสาวพรรณิการ์ ต้องยุติบทบาททางการเมืองลงกลายเป็นคณะก้าวหน้า กระแสของพรรคก้าวไกลก็ดูจะเงียบและแผ่วลงไปบ้าง ซึ่งในเรื่องของการกอบกู้คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลให้กลับมา ย่อมเป็นหน้าที่นายพิธา ในหัวหน้าพรรค แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งใหญ่ได้เพียงไหน?
อีกทั้งในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นพรรคก้าวไกลก็มีปัญหาหนัก คือการที่พรรคเพื่อไทยจะมาแย่งชิงคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ จากพรรคก้าวไกลมาให้ได้มากที่สุด ถึงขนาดส่งแม่ทัพใหญ่บุตรสาว
อดีตนายกทักษิณมาเองเลย ซึ่งกลายเป็นงานที่ค่อนข้างยากสำหรับพรรคก้าวไกลที่จะรักษาคะแนน การเบนเป้าเพื่อหากลุ่มเป้าหมายอื่นในการแบ่งฐานเสียง จึงน่าจะเป็นทางออกที่เพิ่มเข้ามา?
นี่จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พรรคได้ดึงมือนักการเมืองรุ่นใหม่อย่างนายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม อดีต New Dem สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเป็นกำลังเสริมคม ซึ่งอาจช่วยดึงคะแนนเสียงจากกองเชียร์เดิมมาได้บ้าง รวมถึงคนที่มีความคิดต่างจากกลุ่มเดิมๆ ได้เพิ่มอีกบางส่วน แต่จะมากน้อยเท่าไหร่ต้องไปดู เพราะไอติมเองก็ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ทางการเมืองอยู่ไม่ใช่น้อย
แม้นายพิธาจะเคยออกมาบอกว่า ตนเองพร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตจากทางก้าวไกล แต่ไม่แน่ว่ากำลังเสริมที่ดึงมา อาจกลายเป็นกำลังหลัก ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยหรือไม่? และจะขึ้นมาระดับไหนก่อนเลือกตั้ง ซึ่งต้องรอความแน่นอนในอนาคต และเมื่อการจัดทัพยังไม่พร้อมเท่าที่ควร จึงยากนักที่จะปักธงชัยในสนามเลือกตั้งในยามนี้
หากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน แกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยก็จะสุ่มเสี่ยงเรื่องกฎหมายเลือกตั้งจากปัจจัยบัตรสองใบที่พรรคเพื่อไทยต้องการเช่นกัน พรรคเพื่อไทยถือว่ามีความเจนสนามในระดับสูง เมื่อได้โอกาสที่จะใช้กติกาบัตรสองใบมาแล้ว ความมั่นใจของเพื่อไทยก็ดูจะเต็มเปี่ยม ทั้งมีการประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์ รวมถึงการดันลูกสาวของอดีตนายกทักษิณให้เข้ามารับบทหัวหน้าครอบครัว
แต่การเดิมพันในครั้งนี้อาจไม่สำเร็จหากสภาฯ ของพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถไปต่อได้ ทั้งที่กฎหมายเลือกตั้งยังไม่บริบูรณ์ และอาจนำมาซึ่งการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว
ดังนั้นหากจะเดินเกมเสี่ยง ก็น่าจะเลือกเดินในเวลาที่ตนเองมีโอกาสชนะมากที่สุด เวลานี้จึงยังไม่น่าใช่เวลาที่เหมาะสมในการปิดเกมสภาฯ แต่เมื่อใดที่กฎหมายเลือกตั้งเสร็จสิ้น ท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองจะมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปหรือไม่นั้น คงต้องจับตาดูหลังจากนี้ต่อไป แต่ที่แน่ๆ เสถียรภาพรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ แม้จะไม่สู้ดีนัก แต่จากปัจจัยรอบข้างก็ไม่น่าทำให้ต้องก้าวลงจากตำแหน่งในยามนี้
อีกทั้งการที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้มีการแถลงหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ จะไปกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน ถามมาตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งมีคณะรัฐมนตรีและผู้ทรงคุณวุฒิร่วมด้วย ซึ่งความน่าสนใจจากงานเสวนาดังกล่าวคือ จัดก่อนหน้าเปิดสภาฯ และเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เพียงไม่กี่วัน?
อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุทางการเมืองเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง เหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ก็อาจเป็นไปได้ เพราะอย่าลืมว่าบรรยากาศของการเปิดประชุมสภาฯ ถูกทิ้งช่วงไปสักพักใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าเปิดมาต้องเจออะไรบ้าง ปัญหาเศรษฐกิจ ก็ยังคงน่าจะเป็นปัญหาหลักที่เขย่าเก้าอี้พลเอกประยุทธ์ในสภา?
แต่หากทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผนที่ทางรัฐบาลได้วางเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลก็น่าจะอยู่จนการประชุมเอเปกได้เสร็จสิ้น ยกเว้นแต่มีอุบัติเหตุทางการเมืองที่ร้ายแรงเกิดขึ้น
หรือไม่?
“ลูกผู้ชายชาติชาตรี เมื่อได้ลั่นปากไปแล้ว ก็เฉกเช่นกับผ้าขาวที่แต้มลงด้วยสี”
พิฆาตทรชน จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี