เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมโครงสร้างและสาระเนื้อหาของราชอาณาจักรสยามอย่างใหญ่หลวง นั่นคือการสิ้นสุดลงของระบอบราชาธิปไตย(หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นเจ้ามหาชีวิต ผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทยทั้งปวง ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่องค์พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitution Monarchy) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเกิดขึ้นจากการปฏิวัติรัฐประหารของกลุ่มบุคคลชั้นนำเพียงแค่ 200 คน โดยประมาณ ส่วนใหญ่เป็นนายทหาร และได้รับการศึกษาในต่างประเทศ โดยที่ประชาชนพลเมืองมิได้มีส่วนรู้เห็นและมิได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด
กล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของราชอาณาจักรไทยเมื่อปี 2475 นั้น เกิดขึ้นด้วยผู้คนแค่กระหยิบมือเดียว ทำการยึดอำนาจ แล้วทำการสั่งการลงมาถึงประชาชนพลเมืองทั้งประเทศให้ปฏิบัติตามโดยไม่ได้รู้เห็นด้วย
การปฏิวัติรัฐประหาร 2475 เกิดขึ้นท่ามกลางของสภาวะการคุกรุ่นของโลก อันสืบเนื่องมาจากการแข่งขันทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง หรือลัทธิการเมือง เช่น เสรีนิยม สังคมนิยม และชาติพันธุ์นิยม และการปฏิวัติสังคมทั้งที่
ราชอาณาจักรจีน และราชอาณาจักรรัสเซีย การกลับมาเป็นใหญ่ของระบอบกษัตริย์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีการล้มล้างระบอบอำนาจของขุนนางโชกุน (Shogun) การเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่นเป็นการกลับมาสู่ระบอบกษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจ (Meiji Restoration) และการลดทอนอำนาจของกษัตริย์ในยุโรปเป็นการทั่วไป ด้วยการเปิดทางให้กลุ่มขุนนาง กลุ่มผู้ถือครองที่ดิน กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มธุรกิจ ได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองเป็นการแชร์อำนาจกับทางฝ่ายกษัตริย์ ผ่านระบอบรัฐสภา
ความเป็นไปต่างๆ เหล่านี้ทั้งในยุโรป อเมริกา เอเชีย ได้ส่งอิทธิพลและผลกระทบต่อความนึกคิดของชนชั้นปกครอง และคนรุ่นใหม่ไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
จากวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทยได้เริ่มก้าวสู่การเป็นสังคมที่ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และระบอบการเมืองการปกครองก็เริ่มมุ่งไปในทิศทางของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ที่มีกฎเกณฑ์กติกากลางอันได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญ การมีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และการแข่งขันทางการเมืองที่มีพรรคการเมืองเป็นกลไกอันสำคัญ
แต่ก็แน่นอนที่ว่า ในระยะแรกๆ นั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ความคิดความอ่านแบบดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ความเข้าอกเข้าใจในเรื่องการแบ่งแยก ถ่วงดุล และคานอำนาจ ก็ยังไม่มีความชำนิชำนาญการ อีกทั้งความเข้าอกเข้าใจของประชาชนพลเมืองในเรื่องอำนาจของตนเอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วม ก็ยังไม่ได้มีการให้ความรู้ปลูกฝัง และฝึกทักษะกันอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบราชาธิปไตยสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างกะทันหัน ขาดความพร้อมและการเตรียมการต่างๆ ทั้งก่อนและหลังการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ระบอบเสรีประชาธิปไตยของไทยก็จัดได้ว่ามีความคืบหน้าไปในระดับหนึ่ง แม้จะยังมีประเด็นปัญหาที่ยังเป็นอุปสรรคปิดกั้นอยู่
มาบัดนี้ การตื่นตัวตื่นรู้ของประชาชนพลเมืองในเรื่องสิทธิหน้าที่ ได้มีความลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งขึ้น และก็ยังมีการเรียกร้องที่จะให้มีการแก้ไขประเด็นปัญหา กีดกั้น กีดขวางต่างๆ ของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอย่างไม่ลดละ แต่ทว่าชนชั้นปกครองในปัจจุบันซึ่งกล่าวโดยทั่วไป ประกอบด้วย ฝ่ายนักการเมืองพรรคการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ฝ่ายผู้มีอันจะกินหรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ฝ่ายธุรกิจผลประโยชน์ และฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็ดูไม่กระตือรือร้นที่จะให้สังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยมีความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
เขาทั้งหมดนี้ ได้กลับกลายเป็นกลุ่มชนที่หวงอำนาจ หวงความเป็นอภิสิทธิ์ชน และไม่ประสงค์ให้แพร่ขยายการมีส่วนร่วม โดยกลุ่มผู้คนจำนวนน้อยของสังคมจัดได้ว่า เป็นกลุ่มผลประโยชน์เพื่อตน และเป็นกลุ่มรักษาฐานันดรเดิม หรือนัยหนึ่งคงความเป็นชนชั้นปกครองมากกว่าการเป็นผู้รับใช้สังคมและประชาชนพลเมือง ฉะนั้นก็กล่าวได้ว่าสังคมไทย ณ วันนี้ อยู่ในสภาวะของการต่อกรระหว่างชนชั้นปกครอง กับชนชั้นผู้อยู่ใต้การปกครอง ซึ่งเป็นการสวนทางกับเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เพราะมิได้สานต่อการดำเนินงานของคณะราษฎร ผู้ปฏิวัติรัฐประหาร หรือแก้ไขข้อบกพร่องและความล้มเหลวของคณะราษฎร ในการนำพาให้ประเทศไทยเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในวันต่อๆ มา
ในขณะเดียวกัน บริบทโลกก็เปลี่ยนไปจากสงครามอุดมการณ์ มาสู่ความคิดต่างของรูปแบบการพัฒนาประเทศว่าจะใช้ระบบระบอบหลายๆ พรรคแข่งขันกัน หรือจะใช้ระบบผู้นำหรือพรรคเดียวนำพา และการชิงดีชิงเด่น ต่อกรกันระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรปตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่นฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายจีนและรัสเซียอีกฝ่ายหนึ่ง ในการเป็นเจ้าโลก หรือการจัดตั้งระบบโลก (Global Order) ที่ระบบหนึ่งสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกนำพา กับอีกระบบหนึ่งที่จีนและรัสเซียนำพา ต่างคนต่างอยู่ และต่างแข่งขันกันในการขยายอิทธิพลครอบงำไปทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยก็จัดได้ว่า เรายังมุ่งไปในทิศทางของเสรีประชาธิปไตย และฉะนั้นตามรูปการณ์ก็ควรไปอยู่ในค่ายของสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก และก็คงไม่มุ่งไปในทิศทางของผู้นำคนเดียว หรือพรรคการเมืองเดียวครอบงำและนำพาประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติก็เห็นได้ว่า คนชั้นปกครองอยากจะผูกขาดอำนาจ แต่ประชาชนพลเมืองต้องการสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วม
ก็เป็นเรื่องที่กลุ่มผู้ปกครองจะต้องพึงคิดอ่าน จะยังให้สังคมไทยอยู่ในสภาวะความแตกแยกต่อไป และอยู่กันด้วยความหวาดกลัวและไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน และตราบใดที่การบ้านการเมืองมีความแตกแยก ความมีเสถียรภาพก็ไม่เกิดขึ้น ความเจริญก้าวหน้าก็จะก้าวไปอย่างกระท่อนกระแท่น
สังคมมนุษย์นั้นไม่ต้องการอยู่ในสภาวะของการถูกกดขี่ จำกัด ลิดรอน จึงไม่มีเหตุผลอันใดของชนชั้นการปกครองของไทยในวันนี้นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะเหนี่ยวรั้งความเจริญก้าวหน้าของระบอบเสรีประชาธิปไตยอีกต่อไป เพราะหากไม่ดำเนินการใดๆ ก็เท่ากับว่ายังพยายามยึดติดกับอำนาจ ซึ่งเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายบ้านเมือง
ความยิ่งใหญ่ของการเป็นผู้นำก็คือการปลดปล่อย และการอำนวยให้ทุกหมู่เหล่าได้มีส่วนแสดงความเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี