เห็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้ทางการเมือง หลังมีคนวิพากษ์วิจารณ์ กระทบไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แล้ว เห็นควรต้อง “กล่าวถึง” เพื่อเป็น “ปัญญา” ให้แก่สังคมสักหน่อย เพื่อไม่ให้สุ้มเสียงของ “ความไร้ปัญญา” ทำหน้าที่ขับกล่อมผู้คนจนเคลิ้มคล้อยตามไป

1) ปฐมบทของเรื่องมันเริ่มที่ ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์เฟซบุ๊คเมื่อวันก่อนว่า “แค่เบื่อลุงตู่นี่ จะต้องหันไปหาลูกคนหนีคุกที่ศาลตัดสินว่าทำผิดในการโกงบ้าน โกงเมืองกันเลยเหรอคะ ไม่ลองเรียกหาคนเก่งคนดีกันหน่อยเหรอคะแม้จะเบื่อลุงตู่แค่ไหน ไม่ลองเปรียบเทียบดูหน่อยเหรอคะว่า8 ปีลุงตู่กับ 10 กว่าปีของคนแดนไกล ทั้งตัวจริงตัวแทน ความก้าวหน้าของประเทศไทยเป็นเช่นไร

ลุงตู่อาจจะทำอะไรไม่ถูกใจหลายอย่าง แต่ก็ไม่มีเรื่องโกงกินนะคะ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีเรื่องโกงกินกี่เรื่อง ศาลตัดสินแล้ว คำพิพากษาก็ชัดเจนเป็นเชิงประจักษ์นะคะ หรือจะบอกว่าไม่คิดถึงอดีต ถ้าเช่นนั้นก็ขอถามว่า ถ้าได้ลูกมาเป็นผู้นำประเทศ มองอนาคตของประเทศไทยไว้ยังไงคะคิดเรื่อง “พ่อคิด ลูกทำ” ไว้บ้างไหมคะ คิดว่าคนเราจะเปลี่ยนสันดานได้ง่ายๆ เหรอคะ คิดเรื่องคนที่มองการเมืองเป็นการลงทุนที่จะต้องทำให้เกิดกำไรกันบ้างไหมคะ จะยอมเสี่ยงกันจริงๆ เหรอคะ

ยังพอมีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองกันให้ดี ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายสลิ่มก็อย่านิ่งนอนใจ แล้วเฉยเมยกับตัวเลขโพลล์โดยไม่คิดจะทำอะไรกันบ้างเลยนะคะ เริ่มต้นวันนี้เลยนะคะ

อย่ารอปาฏิหาริย์ โดยไม่มีการกระทำใดๆ นะคะ รัฐบาลต้องรู้ว่า เราต้องการทั้ง Action และ Communication จึงจะเปลี่ยนตัวเลขของผลโพลล์นะคะ

สลิ่มทั้งหลายต้องช่วยกันพูด ช่วยกันเล่า เตือนใจคนไทยให้จำความเจ็บช้ำน้ำใจที่พวกเขาทำกับบ้านเมืองเรา และต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนตอบคำถามการสำรวจ อย่าตอบเพียงเพราะต้องการแสดงว่าเบื่อและไม่พอใจลุงตู่ที่ทำอะไรไม่ถูกใจ ลองมองให้ดีว่าลุงตู่ทำอะไรให้ประเทศชาติโดยรวมไว้บ้าง อย่ามองแค่เรื่องที่เราต้องการแล้วไม่ได้นะคะ

2) ต่อมา นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่นายเสรีกล่าวมา ไม่เหนือความคาดหมายที่ยังคงต้องออกโรงเชียร์พลเอกประยุทธ์ อยากให้ลุงตู่อยู่ต่อ ที่ผ่านมานอกจากเคยมีส่วนร่วมเปิดประตูให้การรัฐประหารครั้งนั้นเกิดขึ้นแล้ว จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีท่าทีและแนวคิดเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย กลับเชิดชูผู้มาจากเผด็จการและสืบทอดอำนาจด้วยจิตใจแน่วแน่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เห็นดีเห็นงามกับการใช้อำนาจนอกระบบที่ทหารออกมายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากประชาชน จนประเทศชาติและเศรษฐกิจพังพินาศอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

น.ส.ชญาภากล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหาต่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยองค์กรอิสระต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดได้เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร และถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แม้มีสถานะเป็นองค์กรอิสระ แต่เป็นองค์อิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับ ดร.ทักษิณ ทั้งสิ้น ขัดกับหลักนิติธรรมในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก จนเกิดการตั้งคำถามอย่างกว้างขวางต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ดังนั้น นายเสรี และองคาพยพของพลเอกประยุทธ์ ควรยุติการนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่เพื่อสร้างวาทกรรมโจมตีที่ไม่มีข้อเท็จจริงและไม่สร้างสรรค์อีก

หากถามว่าทำไมประชาชนคนไทยยังคงคิดถึงอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คำตอบคือ การบริหารประเทศกว่า8 ปีภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ที่ล้มเหลวทุกด้าน ไร้ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ภาวะผู้นำ จนนำพาประเทศเข้าสู่วิกฤตรอบด้าน ภาพลักษณ์ด้านการทุจริตของประเทศไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งอยู่ยิ่งตกต่ำลงทั้งที่เคยใช้เป็นหนึ่งในข้ออ้างในการเข้าสู่อำนาจว่ามาปราบโกง แต่กลับทำล้มเหลวเสียเอง จึงอยากทราบว่างานปราบโกงของพลเอกประยุทธ์อยู่ในขั้นตอนใดแล้ว เพราะหากไปดูรายละเอียดของคะแนนดัชนีการรับรู้ทุจริต ประจำปี 2564 ที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 5 ในอาเซียนจาก 9 ประเทศนั้น พบว่า ไส้ในของรายละเอียดการทุจริตที่สำรวจในกลุ่มนักธุรกิจทั่วโลกพบว่า คะแนนลดลง นั่นหมายความว่าในการทำธุรกิจค้าขายกับต่างประเทศ ประเทศไทยยังมีการรับ/จ่ายสินบนอยู่จนนักธุรกิจรับรู้ได้ ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่พลเอกประยุทธ์เข้ามายึดอำนาจบอกจะปราบโกง แต่การโกงไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อง

“ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลที่คนไทยต้องเรียกหาอดีตนายกฯ ทักษิณ เพราะประชาชนยังเชื่อมั่นกับผลงานและนโยบายดีๆ ที่เคยทำสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ จนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่ควรเอารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมาเปรียบเทียบ คงมีแต่คนอย่างนายเสรีที่อยู่บนโลกคู่ขนานเท่านั้น ที่ยังเชื่อมั่นอยากเชียร์ให้ลุงตู่อยู่ต่อ แต่ถ้าถามประชาชนคนไทยทุกวันนี้คงไม่มีใครเอาด้วย เพราะ 8 ปีก็เกินพอ” นางสาวชญาภา กล่าว

3) นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี น.ส.ชญาภา สินธุไพร ออกมาตอบโต้นายเสรี วงษ์มณฑา ลักษณะห้ามแตะต้องนายทักษิณ ที่มีผลงานเยอะกว่านายกฯประยุทธ์ แต่ต้องหนีคดีโกงเพราะเผด็จการ โดยนายชนะศักดิ์ โต้กลับว่า น.ส.ชญาภาคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องทำรัฐประหาร ก็เพราะว่านายกฯในขณะนั้นบริหารงานผิดพลาด มีคดีโกง จนคนทั้งประเทศต้องออกมาขับไล่เต็มท้องถนน ซึ่งก็เป็นเพราะตัวของนายทักษิณกระทำตัวเอง ไม่ใช่เพราะเผด็จการอะไรเลย ถ้าไม่ขี้โกงคงไม่มีประชาชนออกมาขับไล่อย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับที่ทหารต้องออกมาทำรัฐประหารในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็เพราะไม่อยากให้ประชาชนในประเทศขัดแย้งรุนแรงเกิดความเสียหายบอบช้ำไปมากกว่านี้ จึงเข้ามาแก้ไขปัญหาหลายอย่าง รวมถึงปัญหาในรัฐบาลที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ก่อปัญหาทิ้งไว้ โดยเฉพาะการทุจริตโครงการจำนำข้าว จนชาวนาต้องผูกคอตายหลายราย ทิ้งหนี้ไว้มากมายหลายแสนล้านบาท ป่านนี้ยังใช้หนี้ไม่หมดเลย

ส่วนที่น.ส.ชญาภา บอกว่านายทักษิณมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ควรเอานายกฯประยุทธ์ไปเปรียบเทียบนั้น นายชนะศักดิ์กล่าวว่า การเป็นผู้นำประเทศไม่ใช่บริหารงานเก่งแล้วไม่ส่องกระจกดูตัวเอง เก่งแต่ขี้โกง ควรจะเป็นผู้นำบริหารประเทศหรือไม่ ผู้นำที่ดีควรทำเพื่อประชาชน ต้องซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส เสียสละเพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนโดยแท้จริง ไม่เห็นแก่ครอบครัวญาติมิตร ไม่โกงกินบ้านเมืองจนถูกดำเนินคดีหนีไปอยู่ต่างประเทศ

“สิ่งที่นายกฯประยุทธ์ ทำได้ดีกว่านายกฯทักษิณ ชัดเจนและแน่นอน คือ เรื่องการบริหารงานที่ไม่คิดโกงกินบ้านเมืองและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากกว่าในทุกๆด้าน ทั้งนี้ หากสมาชิกพรรคเพื่อไทยไม่เห็นผลงานนายกฯประยุทธ์ก็ไม่เป็นไร เพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นอยู่แล้ว”

4) ผมขอวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาดังนี้คือ

1.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นิยมชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เรื่องผิด เป็นสิทธิของท่าน และเมื่อนิยมชมชอบกัน สิ่งที่ ดร.เสรี มิได้ทำเหมือนที่ชญาภาทำ คือท่านไม่ได้บิดเบือนเพื่อกลบเกลื่อน “ความชั่ว” ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ชญาภาที่นิยมชมชอบนายทักษิณ ชินวัตร กลับทำตรงข้าม

2.น่าคิดว่า คนหนึ่งชมชอบผู้นำที่ช่วงเวลาหนึ่งท่านเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร แล้วเปลี่ยนผ่านมาเป็นนายกฯจากการโหวตเลือกโดยสมาชิกรัฐสภา ท่ามกลางข้อครหา ว่าเขียนกฎหมายปูทางนำมา กับอีกคนหนึ่งชมชอบนักโทษหนีคุก หนีหมายจับ ในคดีที่เอาอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ไปทำนโยบายเพื่อประโยชน์ของตนและครอบครัว หลอกใช้คนเสื้อแดง แล้วตลบหลังด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้พวกเขาตายโดยไม่ได้รับกระบวนการยุติธรรมและการค้นหาความจริง คนไหน “ต่ำ” กว่ากัน

3.ชญาภาไม่ใช่คนตรงไปตรงมา เพราะเธอบิดเบือนหรือตัดตอนว่า คดีของทักษิณ เกิดขึ้นจาก คตส. ที่ตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร ถ้าคนฟังเลือกที่จะ “โง่เท่าเธอ” หรือ “แกล้งโง่” ก็มิทราบได้ ก็จะไม่คิดต่อไปว่า คตส. ทำงานตามอำนาจของ ป.ป.ช. และเมื่อถึงเวลาฟ้อง ป.ป.ช.ก็เป็น ผู้ฟ้อง มีอัยการกลั่นกรองว่าจะฟ้องหรือไม่ มีการแก้ต่างในศาลได้ เหมือนกระบวนการปกติ และถึงที่สุด ถูกหรือผิด ศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ คตส. บางคดี ก็ตีตกไม่ฟ้องโดยคตส.เองด้วยซ้ำไป

4.และหากจะพูดเรื่อง “การโกง” อย่าไปพูดที่ “ดัชนี” ครับ พูดเลยว่า ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ นายทักษิณ ใครมีคดีโกงมากกว่ากัน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีคดีโกงเลยนะครับทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยของชญาภาเป็นฝ่ายค้าน ถ้ามี มีหรือพรรคเพื่อไทยจะปล่อยผ่าน ไม่ยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ และนำมาสู่การสู้คดีในศาล แต่ทักษิณนั้น คดีที่ศาลพิพากษาไปแล้ว ตั้งแต่คดีที่ดินรัชดา คดีหุ้นชินคอร์ป คดีปล่อยกู้เมียนมาคดีเอื้อประโยชน์เอไอเอส ฯลฯ ล้วนเป็นการแสวงหาความร่ำรวยจากอำนาจในตำแหน่งนายกฯ ทั้งนั้น โกงเอง หนีคุกเอง ไม่ใช่ไปอ้างดัชนี “จ่ายสินบน” ของภาคธุรกิจแบบที่ชญาภาทำ

5.ชญาภากล้าพูดเรื่อง “หลักนิติรัฐนิติธรรม” อย่างไม่เคอะเขิน ทั้งๆ ที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ที่เอาชีวิตคนเสื้อแดงเป็นเครื่องสังเวยนั้น โคตรจะย่ำยีหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างหน้าด้านๆ เลยทีเดียว

6.ดร.เสรี ไม่ใช่คนเปิดประตูสู่รัฐประหารครับ คนเปิดคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครับ ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ลุแก่เสียงส่วนใหญ่ ไม่อำมหิตใช้ความตายของคนเสื้อแดงแอบอ้างออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้วซุกการนิรโทษคดีทุจริตเข้าไปด้วย ประชาชนหลายล้านคนคงไม่ลุกขึ้นต่อต้านและขับไล่เธอ จากนั้นเป็นเธอเองที่ยุบสภา เมื่อจะจัดให้มีการเลือกตั้ง ดร.เสรี ก็มิได้ไปขัดขวางการเลือกตั้งที่หน่วยไหนเลย สุดท้ายการเลือกตั้งเป็นโมฆะเพราะมี 8 เขต ไม่มีผู้สมัคร แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดึงดันที่จะจัดการหย่อนบัตรเลือกตั้งให้ได้ ต่อมาเธอกับพวกจำนวนหนึ่งต้องพ้นจากการเป็น “นายกฯ” และ “รัฐมนตรีรักษาการ” ไป เพราะโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรม เพื่อจะให้เครือญาติได้เป็นใหญ่ และการยึดอำนาจจริงๆ ยึดหลังจากกองทัพประกาศกฎอัยการศึก แล้วให้ฝ่ายการเมืองหาทางออกให้ประเทศ แต่สุดท้ายไม่มีทางออก เพราะ ครม.รักษาการของพรรคเพื่อไทยไม่กี่คน ไม่ยอมลาออก เพื่อเปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภาได้ใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เปิดทางให้ประเทศไปต่อได้ โดยที่คณะรักษาการหยิบมือเดียวนั้น ไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรเลย ทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ หรือการจัดการเลือกตั้งใหม่ แล้วคุณจะให้ประเทศไปทางไหน เมื่อคุณนั่งขวางกันอยู่ เพื่อบีบให้ทหาร “ยึดอำนาจ”

7.ใช่ครับ ในทางการบริหารประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ อาจไม่เก่งกาจเท่าทักษิณ นั่นทำให้คนจำนวนหนึ่งเบื่อและ
หมดหวัง จึงเข้าทางพรรคเพื่อไทยให้ไล่ขยี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในเวลานี้

พูดตามตรงเลยนะครับ ผมยังไม่เห็นโฆษกพรรคเพื่อไทยที่ฉลาด ตรงไปตรงมา ใช้ความรู้และเหตุผลโดยไม่บิดเบือน ให้เกียรติคนฟัง และมีจริยธรรมทางการพูดเลยสักคน

ปฏิรูปในส่วนนี้ก่อนดีไหมครับ หากจะชนะ จะ แลนด์สไลด์ ก็ต้องไม่ใช่บนสันดานบิดเบือน หรืิอ หลอกลวงประชาชน!!