l การเมือง คืออะไร (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
การเมือง (politics) คือ กระบวนการและวิธีการ ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของกลุ่มคน ทั้งรัฐบาล กลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน รวมไปถึง บรรษัท, วงวิชาการ และวงการศาสนา ฯลฯ
ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold LasSwell) พหุปราชญ์อเมริกันคนหนึ่ง ได้นิยามการเมือง ว่า เป็นการตัดสินว่า “ใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร”
มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกัน โดยธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจเจก มีความคิดการกระทำของตน ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก และยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องกำหนดกติกาบางอย่างขึ้น และต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อยมีความเจริญก้าวหน้า และมีความสงบสุข
l กล่าวโดยสรุป รูปแบบและเนื้อหา การเมืองไทย มี ๒ แบบ
๑.การเมืองของนักการเมือง (เลือกตั้ง) ใช้อำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ ทุน นักวิชาการ สื่อฯ ทำเพื่อตนเอง พวกพ้อง ครอบครัว พรรค บริวาร เจ้านาย มวลชน ฯลฯ เป็นหลัก ส่วนการทำเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ กลับเป็นเรื่องรอง
ผลที่ออกมา คือ ทำให้ประชาชน ไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งพานักการเมือง กลุ่มทุนใหญ่ฯ ไปตลอด และทำให้สังคมขาดคุณภาพ คือ อ่อนแอ เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม และเสื่อมทรุด ฯลฯ เป็นผลเสีย ต่อสังคม
๒.การเมืองภาคประชาชน ควรทำ ทำเพื่อส่วนรวม ชุมชน บ้านเมือง ทำให้ประชาชนมีอิสระ มีคุณภาพ ประชาชนเป็นพลเมือง (Active Citizen) ที่หากมีปริมาณที่มากพอ จะร่วมกันสร้างสังคมที่มีคุณภาพเป็นธรรม เจริญก้าวหน้า อันจะนำไปสู่ประชาธิปไตยของประชาชน ที่แท้จริงเป็นผลดี ต่อสังคม
กล่าวโดยสรุป
การเมืองนักเลือกตั้ง เป็นกระแสหลัก
การเมืองภาคประชาชน เป็นกระแสรอง
l สภาพการเมืองของไทย เป็นอย่างไร มองในมุมของนักการเมือง ๒ แบบ ข้างต้น
๑.การเมืองของนักการเมือง (เลือกตั้ง)
-มีความขัดแย้ง และช่วงชิงกัน เพื่อเอาใจประชาชน ระหว่างผู้นำ และนักการเมืองน้ำดี และ ผู้นำและนักการเมืองน้ำเน่า
-และสภาพของระบบการเมืองแบบเดิม ที่ยังไม่ปฏิรูป มีส่วนสำคัญ ที่เป็นอุปสรรค ทำให้สภาพการเมือง อยู่ในลักษณะ ๒ ทิศทาง (รวมทั้งปัจจัยสภาพของสังคมไทยที่อุดมสมบูรณ์พอควรฯ เป็นตัวค้ำจุนไว้ )
(๑) ทรงๆ ประคองตัวไป
(๒) ทรุดลงไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด
๒.การเมืองภาคประชาชน
การทำหน้าที่ ยังทำได้น้อย และไปไม่ได้ดีเท่าที่ควร
มีประเด็นสำคัญ คือ
(๑) ขาดนักการเมืองอุดมคติ ขาดทฤษฎีหรือหลักการ และประสบการณ์ที่ถูกต้อง นำทาง
(๒) ความกล้าหาญ เสียสละ เอาจริง ต่อเนื่อง ฯ ยังมีน้อย
(๓) ปัจจัย และกลไก ที่จะเสริมสนับสนุนการเมืองภาคประชาชนมีน้อยทั้งในส่วนของ “ภาครัฐ เอกชน” “พรรคการเมืองที่ดี” และ “การเมืองภาคประชาชน” กลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่ ไปติดกับดักของความคิดเสรีนิยมตะวันตก
(๔) ระบบและโครงสร้างของสังคมไทย ที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม เป็นอุปสรรคใหญ่ โดยทำให้ประชาชน ไม่มีคุณภาพ ต้องยอมจำนน พึ่งพา นักการเมืองเลือกตั้ง
l หลักการทำงานการเมืองภาคประชาชน เพื่อพัฒนาคุณภาพคนและสังคม
สิ่งสำคัญ ที่จะมีส่วนและบทบาท ทำให้ บรรลุผลสำเร็จ
๑.ผู้นำอุดมคติ (ในระดับรัฐบุรุษ) และระดับต่างๆ รองลงไป ที่มีแนวทางปฏิบัติสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยเอาจริง มีวินัย ความกล้าหาญเสียสละ ทำต่อเนื่องจนบรรลุ ซึ่งจะต้องสามัคคี และผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อจะสามารถนำไปบรรลุชัยได้
๒.ต้องศึกษาเรียนรู้ และเข้าใจ สภาพสังคมไทย ประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม และการพัฒนาที่ผ่านมา ที่เป็นจริง ด้วยความรู้ สติปัญญา โดยมีปัจจัยเหตุผล และสามารถพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ได้
๓.มีแนวทาง ทฤษฎี นโยบาย ที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ชี้นำในการคิดและปฏิบัติ การศึกษา แนวคิด ทฤษฎีทางสากล เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญ และเป็นหัวใจ คือ ต้องนำมาประสานกับสภาพสังคมไทยที่เป็นจริงและถอดบทเรียน ที่สามารถนำมาพัฒนาใช้กับสังคมไทยได้จริง
๔.มีความเชื่อมั่น ในการฝึกฝนและพัฒนาตน และบุคคลอื่นให้ก้าวหน้าได้ เพราะ “ความเป็นมนุษย์ ที่เป็นสัตว์ประเสริฐ” มีข้อแตกต่างที่สำคัญกว่าสัตว์อื่นๆ คือ “ความสามารถในการฝึกและพัฒนาตนเองได้” และที่เป็นพื้นฐานในการทำงานของมนุษย์ คือ การทำงานที่ดี มีอุดมคติ เพื่อส่วนรวม เป็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และนำเราไปสู่ความสุขการทำงานที่ดี การปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดความสุข
๕.เข้าใจความสำคัญของเวลา และการใช้เวลาให้มีประโยชน์สูงสุด เพราะ “ชีวิตคนเรา มีเวลาจำกัด” เราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่น ครอบครัว และสังคม
การมีแผนงาน และตารางชีวิตประจำวัน เดือน ปี เป็นเครื่องมือ และกลไก สำคัญ ที่ทำให้เราสามารถทำงานได้มาก มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลได้
๖.ต้องมีหลักการในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร และสามารถประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และโอกาสของแนวโน้มที่เป็นไปได้ ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
๗.คุณธรรม และอุดมคติ เป็นตัวรองรับ และเสริม สนับสนุน ให้ “เรา” ผู้มีอุดมคติ สามารถ ทำงานด้วยความรัก มีความเพียรพยายาม มานะอดทนในการฟันฝ่าอุปสรรค ให้ไปสู่ความสำเร็จ “วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จ” ฉะนั้น จึงมีความจำเป็น ในการสร้าง ยกระดับ “ผู้นำและผู้มีส่วนรวม” ที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ไปสู่เป้าหมาย ให้มี “คุณธรรมและอุดมคติ” เพื่อส่วนรวม
๘.ต้องมีความรู้และความเข้าใจ หลักการในการทำงานมวลชน ที่ดีและถูกต้อง
การจัดตั้งมวลชน ที่มีความคิดทางการเมืองอุดมคติ มีความรู้ความสามารถ ที่รักชาติรักประชาชนให้มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ สุจริต ซื่อสัตย์เสียสละ คือ การลงทุน สร้างและพัฒนา “ผู้เข้าร่วม” ให้มีคุณภาพ
เป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่จะได้มีคนที่มีคุณภาพ จำนวนมาก เข้ามาร่วมเปลี่ยนแปลงฯ
๙.มีแนวร่วมและผู้สนับสนุนทั้งทุกด้าน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม (งานแนวร่วม) ซึ่งเราจะต้องมีความเข้าใจ และสันทัด ในการสามัคคี “บุคคลที่รักชาติรักประชาธิปไตย ที่หลากหลาย” ให้เข้ามาร่วมมือกัน เพื่อการเปลี่ยนแปลง
๑๐.ข้อสุดท้าย การสรุปบทเรียน เป็นหัวใจที่ทำให้เรา ได้รับรู้ ถึงสิ่งที่ได้ทำไป ว่า เป็นอย่างไร?ทำให้เราจักตัวเอง อย่างเป็นจริงแล้ว ทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ สามารถทำงานที่เราปรารถนา โดยเรา ต้องสรุปบทเรียน ด้วยความรู้ สติปัญญา มีความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา เคารพความจริง เคารพตนเอง
สิ่งที่ดี ก็พยายามพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ถูกต้อง
สิ่งที่เป็นข้ออ่อน ข้อผิดพลาด ต้องรู้ถึงผลเสียต่อตัวเองและส่วนรวม รวมทั้งงานการฯ และพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น ถูกต้อง
l จะขอกล่าวเน้น ในประเด็นที่เป็นหลักการใหญ่
๑.การทำงานการเมืองภาคประชาชน ที่ดี มีคุณค่า ความหมายและมีประโยชน์ ต่อบ้านเมือง แต่เป็นเรื่องที่ยากแสนเข็ญ ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า และการไปให้บรรลุเป้าหมาย เพราะเป็นการทำงานเพื่อบ้านเมือง ในบริบท ที่โครงสร้างและระบบของสังคมยังคงเป็นแบบเก่า
-เหลื่อมล้ำ ไม่เสมอภาคเป็นธรรม คนส่วนน้อยมีพลังอำนาจทุกอย่างเหนือกว่า (อำนาจรัฐ กฎหมาย ทุน สื่อ นักวิชาการ มวชน ฯลฯ)
-เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อ่อนแอกว่า และอยู่ในกระแสรอง ฉะนั้นคนที่อาสามาทำงานนี้ ต้องมีความเข้าใจ “เส้นทางที่จะก้าวไปในการทำงานฯ”มีปัญหาอุปสรรคมาก จึงต้องเรียนรู้ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสรุปบทเรียน ตลอดเส้นทางที่เดินไป ต้องมีอุดมคติ กล้าต่อสู้กล้าเสียสละ มีความมานะอดทน ไม่ยอมแพ้ฯ
๒.เราต้องมีความรู้มากพอ ที่จะกำหนด “แนวทางการต่อสู้”
เราสู้กับใคร อะไร : เราต้องกำหนด คู่ต่อสู้ให้ถูกต้อง และจำกัดให้แคบหรือน้อยที่สุด เราต้องแสวงหามิตรหรือแนวร่วมให้กว้างขวางที่สุด เราต้องอาศัยกำลังพื้นฐานที่เป็นพลัง ที่จะสู้จนถึงที่สุด เราต้องกำหนด จังหวะก้าวและขั้นการต่อสู้ ทีละขั้น และก้าวขั้นต่อไป
๓.การทำความเข้าใจ กับสภาพการณ์ที่เป็นจริง คือ เราต้องมองภาพรวม เรื่องหลัก เรื่องรอง ให้ถูกต้องเป็นจริง อย่างเป็นภววิสัย (ตามสภาพที่เป็นจริง) มิใช่ ใช้อารมณ์ ความรู้สึก พอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ เป็นส่วนตัว ที่จะทำให้กำหนดเป้า ผิดพลาด เช่น รัฐบาลลุงตู่ แม้จะมีข้อจำกัด ข้ออ่อน ไม่น้อย แต่ก็มีความจริงใจ และสร้างผลงานให้กับชาวบ้านและบ้านเมืองพอสมควร และหากเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนๆ ก็ทำได้ไม่น้อยไปกว่ากันและดีกว่ามาก เมื่อเปรียบกับรัฐบาลทักษิณยิ่งลักษณ์ ที่โกงกินใช้อำนาจมิชอบธรรม บริหารบ้านเมืองเสียหายมากมาย
โดยสรุป ภาพรวม รัฐบาลลุงตู่ ดีกว่าหลายเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับ รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์
๔. ต้องมีความเข้าใจ “วาทกรรมใหญ่” ที่ฝ่ายค้านนำมาป่วน สร้างกระแส คัดค้านรัฐบาลมักเป็นกรอบคิดตะวันตก ที่ไม่สอดคล้อง และไม่เป็นจริงตามสภาพความเป็นจริงในสังคมไทย เราสามารถอธิบายได้จากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และยึดกติกาของบ้านเมือง (รัฐธรรมนูญ) ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
เรื่องสำคัญ คือ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ที่ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้นฯ ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ สื่อฯ (รวมทั้งสำนักข่าวตะวันตก) นำมากล่าวหาใช้ข้อมูลเท็จ บิดเบือน จาบจ้วงล่วงละเมิด หวังที่จะทำลายฯเพราะ “ตระหนักดีว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ และในหลวงของปวงชนชาวไทย” เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งประเทศ เป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่อำนาจแบบเบ็ดเสร็จของนักการเมืองกลุ่มทุนที่หวังครอบครองบ้านเมือง
วิธีการในการต่อสู้ ของฝ่ายค้าน คือ การยกตัวเองให้ดีเด่น เป็นฝ่ายถูกต้อง และฝ่ายรัฐบาล เป็นฝ่ายผิด เช่น ฝ่ายค้าน เรียกตัวเอง และการกระทำของพวกตน เป็น ประชาธิปไตย และ กล่าวหา รัฐบาลลุงตู่ ว่า เป็นเผด็จการ
ความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม
ฝ่ายค้าน ทำผิดกฎหมาย และกติกาของบ้านเมือง
ฝ่ายรัฐบาล มาจากการเลือกตั้ง (๒๕๖๒) ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ (๒๕๖๐)
วาทกรรมอื่นๆ ก็มีลักษณะเดียวกัน
๕.งานข่าวสาร ข้อมูล เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน
ที่มีความก้าวหน้า รวดเร็วของเทคโนโลยีในสังคมออนไลน์ ภายใต้ความขัดแย้งทางความคิดขั้นรุนแรง และการแบ่งฝ่าย ทั้งในประเทศ และทางสากลประเด็นที่เกิดขึ้น คือ ฝ่ายค้าน และกลุ่มที่ต้องการมีอำนาจสูงสุด ทำทุกอย่าง ทั้งผิดและถูก ไม่สนใจคุณธรรมและจรรยาบรรณ ขอให้ “เป้าหมายของพวกตน” บรรลุ โดย“การใช้บริษัทใหญ่ และกลุ่มที่มีอาชีพในการสร้างบิดเบือนข้อมูล” เป็นเครื่องมือ โดย อาศัยหลัก “ข้อมูลข้อเท็จจริงหาได้ยาก” ฉะนั้น การสร้างข้อมูลเท็จ Fake News มาทำลายฯ และอาศัย “อารมณ์ความรู้สึกของคนทั่วไป” ที่เอาเร็วเข้าว่า ไม่สนใจตรวจสอบความจริง เป็นเครื่องมือ
ฝ่ายการเมืองภาคประชาชน ที่ต้องการทำการเมืองแบบมีคุณภาพและคุณธรรม จึงต้องให้ความสำคัญกับข่าวและข้อมูลที่ถูกต้อง
โดยมีหลักการ :
-รู้เขา รู้เรา รู้สถานการณ์ที่เป็นจริง รบร้อยครั้ง มีโอกาสชนะมากกว่า
-เคารพความจริง ความถูกต้อง และเคารพตนเองและผู้อื่น โดยในการนำเสนอข้อมูลหรือข่าวสารใดออกมา ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องก่อน หากยังไม่สามารถยืนยันได้ ต้องศึกษาค้นคว้าต่อไป ให้แน่ใจและมั่นใจก่อนส่ง
ที่กล่าวมา ทำได้เพียง การเสนอหลักการใหญ่ๆ ที่ควรมีควรทำ โดยนักการเมืองภาคประชาชน ต้องศึกษาเรียนรู้ และพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพต่อไป และมี ตัวชี้วัด คือ
๑.มีความรู้ ประสบการณ์ และทักษะ การทำงาน ดีขึ้น มากขึ้นก้าวหน้าขึ้น
๒.ประสบความสำเร็จ ในการงาน เพิ่มขึ้น
๓.มีความสุข และมีคุณธรรม มากขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี