คำพังเพยไทยแต่โบราณที่ว่า “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”เป็นคำพังเพยสำคัญที่ได้พิสูจน์ความเป็นจริงมาแล้วเป็นระยะเวลาอันยาวนาน นั่นคือผ่านการพิสูจน์ว่าคนบางคนมีความรู้สารพัดเรื่อง เป็นนักวิชาการ เป็นครูบาอาจารย์ จบการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นคนที่เอาตัวไม่รอด
เพราะความเสื่อมได้บังเกิดขึ้นจากความคิด จากการพูดและจากการกระทำของตนเองที่ไม่เป็นไปโดยทำนองคลองธรรม ไม่เป็นไปโดยสุจริต และไม่เป็นไปตามความเป็นจริงที่คนทั้งหลายได้ทราบกันโดยทั่วไป
ล่าสุดที่เป็นบทพิสูจน์คำพังเพยโบราณนี้ก็คือกรณีที่มีนักวิชาการของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงเก่าแก่แห่งหนึ่งจำนวนร่วม 90 คน ได้เข้าชื่อกันท้วงติงศาลซึ่งเป็นสถาบันตุลาการ ผู้ใช้อำนาจในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ และเป็นที่พึ่งที่พิงของคนทั้งหลายที่หวังเอาความยุติธรรมของศาลเป็นที่ตั้งตลอดมา
มีการท้วงติงศาลว่าจะต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายอันเป็นธรรมของมนุษย์ที่ใช้กันในอารยประเทศทั้งหลายทั่วโลก ที่ต้องสันนิษฐานในคดีอาญาว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ควบคุมผู้บริสุทธิ์เอาไว้ได้ จะต้องปล่อยตัวไปเพื่อให้มีโอกาสต่อสู้คดีตามสิทธิมนุษยชน ว่าไปโน่น!
ว่าแล้วก็เรียกร้องให้พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวบรรดาผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีมาตรา 112 คือคดีความผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
ถ้าฟังคำพูดหรือคำแถลงของคนเหล่านี้อย่างผิวเผินก็อาจจะเห็นคล้อยตามไปได้ แต่ความจริงยังมีเรื่องที่ต้องจำแนกแยกแยะกันให้ชัดเจนเพื่อให้เห็นแก่นแท้ของเรื่อง และมองข้ามมายาภาพที่คนจำพวกความรู้ท่วมหัวทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ดังนั้นจึงต้องแสดงความจริงเรื่องนี้พร้อมด้วยเหตุผลและหลักวิชาการทางกฎหมายให้เป็นที่เข้าใจกันสักครั้ง
ประการแรก ประเทศไทยได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาบังคับมาตั้งแต่ปี 2499 เป็นประเทศแรกๆ ของเอเชีย ซึ่งต้องถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในระบบกฎหมายไม่แพ้ชาติใดในโลก และหลายประเทศก็ได้ใช้ระบบกฎหมายอาญาของไทยไปพัฒนาระบบกฎหมายของตน
กฎหมายอาญาของไทยยึดหลักว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินถึงที่สุดว่าได้กระทำผิด นั่นเป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายเกี่ยวกับฐานะของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ซึ่งศาลทั้งหลายก็ได้ยึดถือปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีชาติในโลกนี้ที่เคยติเตียนเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหลักกฎหมายของไทยในเรื่องนี้ไม่ได้ด้อยกว่าชาติใด และจัดอยู่ในประเทศที่มีอารยะทางกฎหมาย
ประการที่สอง นักวิชาการเหล่านี้ไม่ยอมเอ่ยถึงหลักการพิจารณาในการคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาไว้ในระหว่างพิจารณา ซึ่งเป็นหลักกฎหมายที่ปฏิบัติทั่วโลกเหมือนกันนั่นคือกฎหมายจะบัญญัติหลักเกณฑ์ว่ากรณีใดบ้างที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการพิจารณา และเมื่อกรณีต้องด้วยหลักดังกล่าว ศาลก็ไม่มีอำนาจและอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้
และศาลก็ได้ใช้หลักการนี้กับผู้ต้องหาหรือจำเลยทั่วไป รวมทั้งผู้ต้องหาและจำเลยในมาตรา 112 ด้วย ปัจจุบันนี้มีผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาเพราะมีเหตุที่กฎหมายบังคับให้ศาลต้องออกหมายขังในระหว่างพิจารณาหลายหมื่นคน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องคดีมาตรา 112 ไม่เกิน 200 คนเท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติในเรื่องนี้และหลักการคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยในระหว่างพิจารณานั้นเป็นหลักปฏิบัติทั่วไป เป็นคนละเรื่องกับหลักการสันนิษฐานในการวินิจฉัยพิพากษาคดี ที่ให้สันนิษฐานว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
แต่นักวิชาการเหล่านี้กลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่พูดถึงการปฏิบัติที่กระทำมานานแล้วทั้งในประเทศไทยและอารยประเทศทั้งหลาย ทำให้กลายประหนึ่งว่าการคุมขังระหว่างพิจารณาเป็นเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อน ซึ่งหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะแม้แต่สหรัฐหรืออังกฤษก็มีการขังระหว่างพิจารณาจำนวนมากเหมือนกันทั้งโลก
ประการที่สาม มีผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ต้องขังระหว่างพิจารณาหลายหมื่นคน และต้องขังอยู่ในคดีที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาต่างๆ กัน แต่นักวิชาการเหล่านี้มิได้นำพาหรือคำนึงถึงผู้ต้องขังทั่วไปเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย กลับเรียกร้องให้ปล่อยตัวเฉพาะผู้ถูกคุมขังตามมาตรา 112 เท่านั้น
นี่มิใช่เป็นการให้อภิสิทธิ์แก่ผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์เท่านั้นดอกหรือ แล้วบรรดาผู้ต้องขังอีกนับหมื่นคนไม่ใช่มนุษย์หรืออย่างไร ไม่มีสิทธิมนุษยชนหรืออย่างไร และผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 เป็นผู้วิเศษหรืออภิสิทธิ์แต่ไหนมาจึงมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือหัวเหนือเกล้าของนักวิชาการกลุ่มนี้
การที่นักวิชาการกลุ่มนี้ไม่นำพาต่อผู้ต้องขังในคดีอื่นๆ ไม่เคยทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียง ไม่เคยดูแลรักษาผลประโยชน์ ไม่เคยเอาใจใส่ ไม่เคยไปติดต่อขอประกันตัวให้กับผู้ต้องหาอื่นๆ แต่กลับมอบอภิสิทธิ์ทูนหัวทูนเกล้าให้ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องพิลึกพิลั่น ถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่านี่คือความวิปริตชนิดหนึ่ง
ดังนั้นคำพังเพยโบราณที่ว่า “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” ก็ดี หรือ “คนฉลาดเมื่อกินสินบาทคาดสินบนเข้าไปแล้วก็จะกลายเป็นคนโง่เขลา หูหนวกตาบอดไปในพริบตา” จึงเป็นคำพังเพยที่ยังทันสมัยอยู่เสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี