เข้าสู่ช่วงปลายสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ พร้อมกับบทสรุปจากปากของนายวิษณุ เครืองาม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ได้ออกมาไขข้อสงสัยให้กับประชาชนว่า พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ได้ เว้นแต่จะมีการแก้รัฐธรรมนูญ เพียงเท่านั้น แต่นั่นก็คนละเรื่องกับดีกรีความร้อนแรงในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่อย่างใด ด้วยศึกอภิปรายในครั้งนี้ เป็นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในสมัยสภานี้ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งการที่ฝ่ายค้านขยับการอภิปรายขึ้นมาเร็วขึ้นก่อนการพิจารณาวาระ 8 ปีนายกฯ ก็น่าจะย่อมมีอะไร
น่าสนใจว่าบทสรุปของศึกครั้งนี้จะออกมาในทิศทางใดกันแน่ เพราะผลกระทบจากรอบนี้คงไม่ใช่เพียงประเด็นที่อภิปราย หรือคะแนนโหวต แต่คือความเคลื่อนไหวของตลาดสส. ทั้งพรรคฝั่งรัฐบาล และพรรคฝั่งฝ่ายค้าน จนคะแนนโหวตอาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่อภิปรายเลยก็ได้ นี่ยังไม่นับความขัดแย้งภายในของพรรคซีกรัฐบาล ทั้งพรรคขนาดกลาง ไปจนถึงพรรคที่พึ่งเกิดขึ้นใหม่ ที่อาจจะเห็นผลชัดๆ หลังวันศุกร์นี้?
ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เพราะทันทีที่พรรคเศรษฐกิจไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม ลำปาง เขต 4 ให้แก่พรรคเสรีรวมไทย แกนนำพรรเศรษฐกิจไทยก็ได้ตัดสินใจ เข้าพบและกราบลาพลเอกประวิตร พี่ชายที่นับถืออย่างยิ่ง พร้อมกับได้ประกาศยุติความสัมพันธ์กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะเข้าสู่การสิ้นสุดสถานภาพความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคเศรษฐกิจไทยหรือไม่? ซึ่งก็ได้สร้างคำถามให้กับคอการเมืองว่าเกิดอะไรขึ้น? และเพราะเหตุใดร้อยเอกธรรมนัสจึงตัดสินใจเช่นนั้น?
แต่ที่แพ้เลือกตั้งที่ลำปางตกลงแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นพรรคฝั่งรัฐบาลหรือเป็นเพราะออกจากพลังประชารัฐแล้ว? เพราะพื้นที่ต่างจังหวัดในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาพรรคฝั่งรัฐบาลมักจะเก็บคะแนนได้เสมอ แต่ต่างกับการในกรุงเทพมหานคร
ทั้งการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตหลักสี่ ที่พลังประชารัฐเสียเก้าอี้ให้กับเพื่อไทย และแพ้ให้กับพรรคกล้าและก้าวไกลด้วย รวมถึงเวทีเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ถูกมองว่าเป็นกระจกสะท้อนความนิยมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์และแม้พรรคพลังประชารัฐจะไม่ได้ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ ลงแข่งขัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บิ๊กวินก็ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐอย่างเนืองๆ แม้แต่เวที สก. พรรคพลังประชารัฐ เองก็ทำผลงานออกมาได้อย่างน่าตกใจ จึงไม่แปลกเท่าไหร่ที่ร้อยเอกธรรมนัสจะนำประเด็นกระแสนี้ออกมาบอกว่า ที่พรรคเศรษฐกิจไทยพ่ายแพ้ในศึกการเลือกตั้งซ่อม อาจเพราะด้วยภาพลักษณ์ของพรรคเศรษฐกิจไทย ไปยึดโยงไปกับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาในพื้นที่ต่างจังหวัดพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐก็สามารถชนะเลือกตั้งในพื้นที่ต่างจังหวัดมาได้ตลอดเช่นล่าสุดในการเลือกตั้งซ่อมภาคใต้ทั้งสองเขตที่พรรคประชาธิปัตย์ยังยึดเก้าอี้กลับมาได้
ซึ่งก็ไม่รู้เป็นการประกาศออกสื่อว่าขอก้าวออกจากรั้วรัฐบาลของพรรคเศรษฐกิจไทย จะเป็นการตัดสินใจที่ดีต่อพรรคในสถานการณ์ตอนนี้จริงหรือไม่? เพราะในสายตาของประชาชนในยุคปัจจุบันจะมองภาพลักษณ์ของพรรคเศรษฐกิจไทยว่าเป็นอย่าไร พรรคจะสามารถสลัดภาพเดิมในสายตาประชาชนได้จริงหรือ การเดินออกไปจากรัฐบาลแต่ภาพในสายตาประชาชนก็ไม่สุดว่าเป็นฝ่ายค้านจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อคะแนนในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าประชาธิปัตย์ก็เคยตกที่นั่งลังเลแบบนี้มาแล้ว
ดังนั้น เมื่อประกาศตนว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านตรงข้ามกับรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งครั้งใหญ่ จะเกิดผลกระทบด้านใดตามมาบ้าง? และผลกระทบนั้นจะเกิดขึ้นกับใคร?
ที่แน่ๆ ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดแต่ละเขตที่ยังเป็นฐานคะแนนของพลเอกประยุทธ์ก็อาจคิดต่อผู้สมัครที่เปลี่ยนเสื้อออกจาพลังประชารัฐเปลี่ยนไป ในขณะที่คะแนนส่วนตัวที่เหลือของผู้สมัครจะเพียงพอที่จะแข่งขันกับทั้งพรรคซีกฝ่ายค้านที่มีอยู่ในพื้นที่และต้องมาแข่งกับพรรคพลังประชารัฐเองจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าพรรคเศรษฐกิจไทยจะมีระบบ สส. ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง มีผู้แทนที่ผูกพันกับท้องถิ่นในจำนวนที่ไม่น้อย ซึ่งก็อาจทำให้พรรคเศรษฐกิจไทยได้ สส. ในพื้นที่แบบเดียวกับที่พรรคชาติไทยพัฒนา ในพื้นที่บางจังหวัดที่มีรากฐาน สส. แข็งแกร่ง แต่นั่นคงไม่เพียงพอสำหรับกติกาเลือกตั้งใหม่ที่พรรคใหญ่จะกลับมาได้เปรียบ
การที่ฝ่ายค้านโร่ออกมาแจงในช่วงแรกหลังจากที่ปรากฏข่าวถึงการถอนตัวจากพรรคร่วมของพรรคเศรษฐกิจไทยว่าอาจไม่ได้ให้พรรคเศรษฐกิจไทยร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ เนื่องจากได้มีการจัดสรรปันส่วนเวลากันภายในรั้วฝ่ายค้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จริงอยู่ที่ อาจเป็นหนึ่งในเหตุผล แต่เหตุผลที่แท้จริง ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น
สถานะของพรรคเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากพรรคร่วมทั้งสองฝ่าย รวมถึงจุดยืนที่ถูกมองว่ายังไม่ชัดเจนนี้ทำให้ยังไม่มีพื้นที่ของตนเองในเวทีสำคัญสำหรับการอภิปรายครั้งนี้ และถึงแม้จะพอเดาได้ว่าพรรคเศรษฐกิจไทยจะโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี แต่ก็อาจจะไม่ทุกคน
เป็นที่ทราบกันดีว่าร้อยเอกธรรมนัส มีปัญหากระทบกระทั่งกับบุคลากรทางการเมืองของอดีตพรรคร่วมอุดมการณ์ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าการโหวตรอบนี้ อาจเป็นการสะสางปัญหาเก่ากับรัฐมนตรีบางคนซึ่งก็ต้องรอดูว่าเป็นอย่างไร? ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นพรรคเศรษฐกิจไทยจึงยังถูกมองว่าไม่ชัดเจนเรื่องสถานะความคิดทางการเมืองและเป้าหมายทางการเมืองหรือไม่
แต่หากเจาะไปที่พรรคร่วมฝ่ายค้านสองพรรคหลักอย่างเพื่อไทยและก้าวไกล ที่อาจบอกได้ว่าเป็นพรรคฐานคะแนนเดียวกัน แต่ความจริงก็มีความต่างกันอยู่ โดยเฉพาะกรณีคนรุ่นใหม่ คนชั้นกลาง กับคนรุ่นก่อนหรือประชาชนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อย การอภิปรายครั้งนี้ดูจะมีความบังเอิญบางอย่างที่เหตุใดพรรคเพื่อไทยมักจะอภิปรายรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคก้าวไกลมักจะอภิปรายรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์
น่าคิด
นอกจากนี้ อย่าลืมว่าภายใต้กติกาบัตรเลือกตั้งและสูตรคำนวณใหม่ แต่ละพรรคเองก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้อยู่รอดไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือบทบาทของพรรคเล็กอื่นๆ ว่าจะมีทิศทางและแนวโน้มในการเดินอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร้อยเอกธรรมนัสก็ดูจะมั่นอกมั่นใจกับจำนวน สส. ที่อยู่ในมือเป็นพิเศษ ทั้ง สส. เดิมจากพรรคเศรษฐกิจไทยที่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย รวมถึงบรรดาพรรคเล็กอื่นๆ ที่ร้อยเอกธรรมนัสรับบทเป็นผู้ประสานงานตอนสมัยยังอยู่พรรคพลังประชารัฐอีกด้วย แต่เมื่อร้อยเอกธรรมนัสได้ตัดสินใจที่จะยุติบทบาทพรรคร่วมรัฐบาลลงก็น่าสนใจว่าพรรคเล็กที่เหลือจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป จะตามผู้ประสานงานที่รู้มืออย่างร้อยเอกธรรมนัสต่อ? หรือจะขึ้นตรงต่อพลเอกประวิตรกันแน่?เดี๋ยวคงได้รู้กัน
รวมถึง สส. ภายในขั้วพรรคเศรษฐกิจไทยเอง หลังจากที่มีกระแสส่อแววแพแตกมาเขย่าขวัญกันอย่างไม่ขาดสาย เชื่อว่า สส. ที่เป็นนักการเมืองมืออาชีพหลายสมัยก็น่าจะมีการเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้วบ้าง ก็น่าคิดว่าหากพรรคเศรษฐกิจไทยแน่ชัดแล้วว่าไม่สามารถไปต่อได้กับรัฐบาลจริงๆ จุดหมายของ สส. ภายในพรรค ที่น่าจะย้ายสังกัดไปจะมีที่ใดกันบ้าง ซึ่งหากลองวิเคราะห์กันแล้วสองพรรคที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นบ้านเก่าอย่างพรรคพลังประชารัฐ อาจเพราะด้วยบารมีของพลเอกประวิตรที่ยังใหญ่คับสภาฯ พลังประชารัฐจึงน่าจะยังเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี
แต่หากไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐแล้ว อีกหนึ่งพรรคที่ไม่สามารถมองข้ามได้นั่นคือพรรคภูมิใจไทย เพราะที่ผ่านๆ มาแม่เหล็กแรงสูงของพรรคภูมิใจไทยก็สามารถดึงดูดผู้แทน จากหลากหลายสารทิศเข้าสู่บ้านได้ด้วยจำนวนที่ไม่น้อย และหากยังจำกันได้เมื่อคราวที่กลุ่ม สส. ของร้อยเอกธรรมนัสถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐก็มี 2 สส. บ้านช่างเหลาที่ไม่ได้ติดสอยห้อยตามร้อยเอกไปยังพรรคเศรษฐกิจไทยด้วยกัน แต่กลับไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยแทน ซึ่งก็ไม่แน่ว่ารอบนี้จะมีมาอีกกี่คน?
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรคเศรษฐกิจไทย น่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังจากการอภิปรายได้จบลงเพราะในตอนนี้สิ่งที่หลายคนจับตาพรรคเศรษฐกิจไทยก็คือเรื่องของการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของพรรคด้วยเหมือนกัน แต่หลายคนก็ยังเชื่อในฝีมือ และบารมีของพลเอกประวิตรที่น่าจะมีการคำนวณเสียงสนับสนุนรัฐบาลในสภาฯ เป็นที่เรียบร้อย
ดังนั้นในเรื่องการอภิปรายนี้ก็คงไม่อาจสร้างความหนักใจให้แก่ 3 ป. เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือทิศทางของพรรคสาขาที่น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือก เมื่อยามที่พรรคพลังประชารัฐกระแสไม่เปรี้ยงเหมือนเมื่อก่อน จะมีทิศทางใดต่อไปมากกว่า เพราะหากพรรคเศรษฐกิจไทยไม่สามารถเป็นพรรคทางเลือกอีกพรรคที่เตรียมไว้พรรคสาขาที่เป็นแผนสำรองอื่นๆ ที่รอจังหวะเปิดตัว ก็อาจจะเข้าวินทันที เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านี้มีข่าวของพรรคเกิดใหม่ที่เปรียบดังพรรคพี่น้องของพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังมีพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวของพรรคไม่ได้เป็นที่ชัดเจนมากนัก จากการที่ตัวตั้งตัวตีอย่างนายเสกสกล ถูกพิษหวยอลเวงตามมาเล่นงานย้อนหลัง จนทำให้คอการเมืองหลายคนแทบจะตัดสินใจปิดประตูความเป็นไปได้ของการก่อเกิดพรรครวมไทยสร้างชาติลง
แต่ในตอนนี้ก็คงต้องบอกตามตรงว่า ยังเร็วเกิดไปที่จะตัดสินว่าพรรครวมไทยสร้างชาติหมดโอกาสเฉิดฉายในการเลือกตั้งครั้งใหญ่สมัยหน้า เพราะในตอนนี้เองก็เริ่มมีข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจมีการเปลี่ยนมือหัวเรือใหญ่ของพรรค จากนายเสกสกล สู่นายพีระพันธุ์ ตามที่เป็นกระแสข่าวหรือไม่? ซึ่งอาจจะเปิดตัวอีกไม่นานนี้ ซึ่งดูแล้วน่าจะทรงพลังกว่าเดิมมากรวมถึงภาพคนดังทางการเมืองตบเท้าเข้ามาอยู่อีกมาก
แม้จะไม่ใช่ศึกสำคัญ แต่ในตอนนี้เอง จุดโฟกัสของคอการเมืองน่าจะจับจ้องไปที่ศึกอภิปราย เพราะนั่นจะเป็นศึกสุดท้ายในสภาฯ ของสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ หลังจากนี้ความเคลื่อนไหวนอกสภาฯ เพียงเท่านั้นจะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ทั้งก้าวเดิน และกลยุทธ์ของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ความชัดเจนของแต่ละพรรคการเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากจบศึก จับตาดูความเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ไว้ให้ดี
“หากท่านเป็นบุรุษ ควรเข้าใจเรื่องประการหนึ่งจึงประเสริฐ
หากมีบุรุษอื่นมายกย่องชมเชยท่านต่อหน้า หากมิใช่เคารพนับถือท่านจนศิโรราบจริงใจ
ก็ต้องเป็นเห็นท่านต่ำทรามจนไร้ค่า และมักยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงด้วย
แต่หากมันชมท่านลับหลัง นั้นก็เป็นการชมโดยจริงใจ”
โกวเล้ง จาก ผู้ยิ่งใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี