คำแนะนำจากคนที่เคย “เติมบทเฉพาะกาล” ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกโดยประชาชน มีส่วนร่วมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จนเป็นกติกาที่บางฝ่ายใช้ปลุกเร้าผู้คนว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย” หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลบางคนในปัจจุบัน ถึงกับเคยใช้คำว่า “ประชาธิปไตยวิปริต” บนเวทีปราศรัยสมัยหาเสียง และเป็น “สารตั้งต้น” ของความวุ่นวายในบ้านในเมืองมาแล้วนั้น น่าฟังนัก!
1) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่า จะมีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ว่า ในส่วนของสว.ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าใครจะให้กลับ ทั้งพรรคการเมืองหรือผู้มีอำนาจคนใดก็ตาม จะเสียผู้เสียคนมากกว่า
เหมือนอย่างกรณีสูตรคำนวณสส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่จากเดิมหาร 100 ก็มีการกลับไปเป็นหาร 500 แล้วจากหารด้วย 500 ก็จะกลับมาเป็นหารด้วย 100 อีก และยังจะกลับไปแก้รัฐธรรมนูญอีก ก็จะทำให้ยิ่งเสียคนมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องที่จะมองแค่ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง มากกว่าการดำเนินการให้เป็นไปด้วยความตรงไปตรงมา ขาดความถูกต้อง ขาดความมีจริยธรรมทางการเมือง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือ
เมื่อถามว่า มองว่ามีโอกาสที่จะกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวได้หรือไม่ นายวันชัยกล่าวว่า ตนคิดว่าใครที่คิดแต่เรื่องอำนาจอย่างเดียว คิดแต่จะเอาเปรียบอย่างเดียว แล้วรวมหัวกัน ก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นได้
“หากจะเกิดขึ้นได้ก็จะต้องมีการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองกับผู้มีอำนาจ ที่หวังจะเอาอำนาจและหวังจะได้เปรียบทางการเมืองเท่านั้น แต่หากพรรคการเมือง
ไม่เล่นด้วย สส.ไม่เล่นด้วย ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ลำพังสว.เพียวๆ ก็ไม่มีทางที่จะทำได้เลย” นายวันชัย กล่าว
เมื่อถามว่า ส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ หากจะมีการกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว นายวันชัย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย เพราะตนเห็นด้วยกับการหารด้วย 100 ตั้งแต่ต้น และหากจะกลับไปกลับมา ตนมองว่ามันเป็นการกะล่อนกันทางการเมืองมากกว่าที่จะทำเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
2) ต้องชม อ.วันชัยสั้นๆ ว่า “เฉียบ!” เมื่อเทียบกับการเติมบทเฉพาะกาลที่ผมมองว่า เป็น “หลักกู” มากกว่า “หลักการ” แล้ว ก็ดีใจที่วันนี้ อาจารย์รังเกียจ “การรวมหัว” และ “การเอาเปรียบ” อาจารย์อยากให้ “ตรงไปตรงมา”อาจารย์พูดคำว่า “จริยธรรมทางการเมือง” ไชโย!
3) ต้องบอกก่อนว่า เวลานี้ ประชาชนหลายคนกำลังขนลุกกับ “เรื่องทุเรศๆ” เกี่ยวกับการแก้กตินี้กันเป็นอย่างมาก และหากไม่รีบออกมายืนยันความเป็นจริง
ตัวละครที่ถูกอ้างในข่าว ว่ากดดันให้แก้ สั่งให้แก้ จะเสียผู้เสียคน หรืออาจถึงขั้น “เสียหมา” เลยก็ไม่แน่
4) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน เขียนบทความ “กฎแห่งอำนาจ” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เนื้อหาดังนี้
“...ในทางการเมือง มีคำพูดที่ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า “ไม่มีอำนาจการเมืองใดที่คงอยู่ตลอดกาล” แต่การเมืองไทย ด้วยความกลัวของผู้มีอำนาจ จึงพยายามฝืนสัจธรรมความเป็นจริงทุกวิถีทาง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา
...อลเวงกับสูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ เดี๋ยวเอาหาร 100 แล้วเปลี่ยนไปเป็นหาร 500 พอเห็นท่าไม่ดี ยังคิดจะพลิกกลับไปเป็นหาร 100 อีก และยังกลับไปกลับมาได้อีกหลายตลบ ตามใบสั่งผู้มีอำนาจ เอาตามที่สบายใจ ไม่ได้ใยดีประชาชน สาเหตุมาจากความกลัวขี้หดตดหายว่า จะสูญเสียอำนาจที่เสวยสุขมานาน กระแสเบื่อมาแรง ไม่ว่าหารแบบไหนล้วนเข้าทางฝ่ายตรงข้าม “รัฐบาล 3 ป.”ยังไม่พอ คิดเปลี่ยนสูตร รื้อรัฐธรรมนูญเพื่อกลับไปใช้ “บัตรใบเดียว” ตามเดิมอีก เพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่า เ_อกเอาหอกไปยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามทิ่มตัวเองด้วย “บัตรสองใบ”
...อำนาจที่มีมาอย่างยาวนาน และความย่ามใจทำอะไรก็ได้ จะสั่งให้หันซ้าย หันขวา ก็ทำได้หมด ใช้อิทธิพลทั้งทางตรง และทางอ้อม (กล้วยยัดปาก) อาการลนลานกลัวไม่ได้กลับสภาสมัยหน้าของเหล่า สส. พรรคพลังประชารัฐ กับแกนนำรัฐบาล หารือกันหน้าดำคร่ำเครียด จนไม่ว่าสูตรไหนก็ดูไม่ลงตัว สร้างความสับสนให้รัฐธรรมนูญ“ฉบับมั่วของพวกเรา” มีการคำนวณสูตรพิสดาร บัตรเขย่งสส. ปัดเศษ เอาพวก “ลิเกลิง” เข้าร้องเจี๊ยวจ๊าวเต็มสภา พากันกินแต่กล้วยที่ผู้มีอำนาจยัดปิดปากให้โหวตซ้ายขวาได้ตามใบสั่ง
...ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมชื่ออยู่พรรคหนึ่ง แต่ตัวไปอยู่อีกพรรค ดูสับสนวุ่นวาย จนชาวบ้านเอือมระอาด่ากันขรม จำไม่ได้ว่าอยู่พรรคไหน ฝั่งไหน? แต่แลกมากับการได้ครองอำนาจต่อ ย่อมคุ้มค่า ติดใจหลงหัวปักหัวปำกับบารมีที่มีมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง ไม่ได้ปฏิรูปบ้าบออะไรสำเร็จสักเสี้ยวกระผีก ตามแผนล้ำลึกแหกตาชาวบ้านของ “ลุงกำนัน” กระแสยี้ เบื่อสุดๆ กับ 3 ป.ที่ทำท่าทีเล่นการเมืองแบบ “ตกปลาในอ่างหลังบ้าน” นับไปนับมา อำนาจวนเวียนกันแค่ 3 ป. ตามระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ
...ป. 1 ทำท่าทางรังเกียจนักการเมือง ทำตัวเหมือน “พระมาโปรดสัตว์” ป. 2 ลีลานักการเมืองอาชีพยังอาย เป็นเสมือน “ผู้มากบารมี พี่นี้มีแต่ให้” คนแย่งกันเข้าบ้าน
เฝ้ากันข้ามคืน เป็นผู้อาวุโสคุมเกมการเมือง แต่ปากบอก“ไม่รู้ ไม่เกี่ยว” ป. 3 เป็นเหมือนมันสมอง ลุ่มลึก เงียบกริบ แต่คมกริ๊บ พูดน้อย ต่อยหนัก ทั้ง 3 ป. ผลัดกันเล่นมุข เดี๋ยวรุก เดี๋ยวรับ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ ทำท่าระหองระแหง แล้วกอดกัน
...ไม่ว่าเกมเปลี่ยนอย่างไร แต่ผู้เล่นยังมีแค่ 3 ป. เหมือนเดิม ตั้งแต่ยึดอำนาจมา จนแปรสภาพตกผลึกมา 8 ปีคุมองคาพยพทั้งการเมือง ข้าราชการ กองทัพ นายทุน องค์กรกลางทั้งหลาย ไปจนถึงสภาล่าง สภาบน ด้วยอำนาจของ “ผลไม้เครือหวี” แผนสุดท้ายยังแตกแบงก์พันจัดตั้งสารพัดพรรค พาเหรดเปิดตัวแผนสำรอง เผื่อดันพรรคพลังประชารัฐไปไม่ไหว ส่วนพวกเห็นช่องทางก็ร่วมผสมโรง แห่กันเปิดพรรคเหมือนเปิดร้านเซเว่น เปิดกันทุกวันจนชาวบ้านจำชื่อพรรคไม่ได้
...นี่คือผลของกระบวนการบิดเบี้ยวเพื่อสืบทอดอำนาจที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะแก้เกมด้วยท่าไหน ทำปู้ยี่ปู้ยำกับรัฐธรรมนูญยังไง แหกตากันกลางสภา เล่นลิเกโหวตสวนขู่ แล้วไปกราบตีนหวังจะเปลี่ยนกฎปรับ ครม. ก่อนเลือกตั้ง ก็มิอาจสะเทือนซาง 3 ป. ได้
...ลิเกแห่งอำนาจยังคงดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยน แต่ผมก็ยังเชื่อในกฎการเมืองที่ว่าไว้ “ไม่มีอำนาจใดคงทนอยู่ถาวร หากหมดสิ้นศรัทธาประชาชน”...” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าว
5) นายนิโรธ สุนทรเลขา สส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์กรณีร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.(ฉบับที่…) พ.ศ. … หรือกฎหมายลูกที่จะนำกลับเข้ารัฐสภาในวันที่ 2-3 สิงหาคมว่า จะพยายามดันให้จบ ภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เพราะถ้าทำไม่จบจะเสียหายและเสื่อมเสียมาก
เมื่อถามว่า วิปรัฐบาลจะกำชับพรรคร่วมเรื่องกฎหมายลูกอย่างไรบ้าง นายนิโรธกล่าวว่า เราต้องเดินหน้าเพราะเราทำหน้าที่นิติบัญญัติ เมื่อสภานิติบัญญัติเห็นควรแก้เป็น ใช้สูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ หาร 500 แล้ว สภานิติบัญญัติก็ต้องทำกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องให้จบ เพื่อให้กฎหมายสมบูรณ์ พอจบก็ส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และครม.ส่งต่อไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ากฎหมายที่ฝากเข้าสภาตอนนี้พิจารณาเสร็จแล้วเป็นอย่างนี้เห็นด้วยอย่างไรก็พิจารณาไป และค่อยส่งกลับมาใหม่ เพราะกฎหมายฉบับนี้ กกต. เป็นผู้เสนอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. ได้มีสัญญาณว่า จะให้โหวตกฎหมายลูกไปในทิศทางใดหรือไม่ นายนิโรธ กล่าวว่า ไม่มี เราต้องทำตามที่สภานิติบัญญัติกำหนดมา ที่สภามอบหมายให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ไปพิจารณากฎหมายลูกทั้งสองฉบับ เมื่อกมธ.พิจารณาเสร็จแล้วก็เอากลับเข้ามาสภา ส่วนสภาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกมธ.อย่างไร กมธ.ก็ต้องยอมรับเสียงของสภา เพราะถือว่า กมธ. หมดหน้าที่ที่จะมาคุยโต้ ซึ่งตนเข้าใจว่า เขาไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของเขา
“เมื่อกมธ.เสนอมา 1 กับ 2 สภาบอกว่า จะเอา 1 กมธ.ก็ต้องยอมรับและไปแก้มาให้จบ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ไม่ได้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่จะมาพูดโน่นพูดนี่หรือออกคำสั่ง มันไม่มี เป็นเพียงการกล่าวร้ายป้ายสีหัวหน้าพรรคพปชร. เเละด้อยค่าพรรคพปชร. เพื่อผลประโยชน์ของพรรคตัวเอง ผมมองว่าคนพวกนี้ไม่มีจริยธรรมและคุณธรรม ทำให้ประชาชนสับสนบ้านเมืองวุ่นวาย”
เมื่อถามย้ำถึงกระแสข่าวที่พรรคพปชร.อยากจะย้อนกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว นายนิโรธกล่าวว่าไม่มีเป็นเพียงการพูดคุยกันเมื่อรัฐธรรมนูญแก้เป็นบัตรสองใบ และสูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 500 พวกสส.ก็มาพูดคุยกัน คุยถึงบัตรเลือกตั้งแบบใบเดียวและสองใบว่าแบบไหนดีกว่ากัน เป็นเพียงการคุยกันในวงว่า ใครชอบแบบไหน ไม่ใช่ว่าพรรคพปชร. จะทำอะไร เพราะหากจะย้อนกลับไปใช้บัตรใบเดียวมันไกลมาก จะต้องแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งกระบวนการก็ยุ่งยาก ไม่ใช่มาพูดคุยกันและจะทำได้เลย
6) นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสส.และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และประธานยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่งสัญญาณอาจกลับไปใช้สูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ หาร 100 ว่า ตอนนี้กฎหมายอยู่ขั้นตอนการพิจารณารายมาตราวาระ 2 โดยหลังจากผ่านวาระ 3 ต้องส่งไปที่ กกต. หากสมมุติว่ามีความเห็นสูตร 500 อาจขัดรัฐธรรมนูญและหาก กกต.คิดว่าเป็นปัญหา ก็จะกลับไปสู่การพิจารณาของสภาอีกครั้งหากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่เสียเวลานำไปสู่การพิจารณาของสภาร่วม เพื่อมาแก้ไขในมาตรา 23 เกี่ยวกับสูตรการคำนวณ สส. รวมทั้งมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่า ท่าที่ของ ปชป.เห็นด้วยหรือไม่ที่จะกลับมาสูตร 100 นายสาธิตกล่าวว่า ไม่มีความเสี่ยงและสอดคล้องกับ กมธ.เสียงข้างมาก และที่ผ่านมา กกต.ก็มา
ให้ความเห็นทุกขั้นตอนว่า การใช้สูตร 500 จะมีความหมิ่นเหม่ผิด รธน. ฉะนั้นหากทำกฎหมายที่รอบคอบปลอดภัยจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายและสอดคล้องกับหลักการ
เมื่อถามอีกว่า มีการมองสาเหตุที่กลับมาสูตร 100 เพราะฝ่ายรัฐบาลอาจจะไม่ได้เปรียบจากสูตร 500 นายสาธิต ระบุว่า ตนไม่ได้สนใจว่าใครเสียเปรียบหรือได้เปรียบ แต่ตนร่างกฎหมายและกติการเลือกตั้งเพื่อความเป็นธรรม ส่วนใครจะได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน และกติกาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อถามว่า การที่ทำให้วุ่นวายก็เพื่อนำไปสู่การคว่ำกฎหมายลูกในวาระ 3 เพื่อออก พ.ร.ก.เกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นประโยชน์กับฝ่ายบริหาร นายสาธิต กล่าวว่า การออก พ.ร.ก.อาจจำเป็น แต่การออก พ.ร.ก.โดยไม่มีทุกฝ่ายมาร่วมร่างกติกาในขั้น กมธ.ร่วม มันก็จะเป็นความขัดแย้งในขั้นตอนต่อไป ดังนั้น การจะทำให้บ้านเมืองราบรื่น ก็ควรเป็นไปตามหลักการและกลไก
“ใครจะไปจะมา รัฐบาลจะอยู่หรือจะไป รัฐบาลใหม่จะมา ไม่เป็นไร แต่หลักการของประเทศต้องยังอยู่ ต้องช่วยกันทำให้เกิดสิ่งนี้ให้ได้” นายสาธิต กล่าว
เมื่อถามว่า การกลับไปกลับมา จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาอีกหรือไม่ นายสาธิตกล่าวว่า ยอมรับหากกลับไปกลับมาจริง ประชาชนก็จะไม่เชื่อมั่นในเสียงการประชุมร่วมรัฐสภา ต้องตำหนิคนที่พยายามเปลี่ยนและกลับไปกลับมาว่า หวังผลอะไรที่คิดแบบนั้น ซึ่งตนก็ทราบว่าประชนชนรู้คือใคร คิดยังไง และอยากให้เป็นอะไร มันปิดกันไม่ผิด
สรุป : สิ่งที่ต้องทำหรือต้องติดตามก็คือ
1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณต้องออกโรงปฏิเสธอย่างแข็งขันอีกครั้ง (แม้ท่านจะเคยปฏิสธมาแล้ว) ว่าไม่เกี่ยวข้องกับข่าวลือเรื่องกลับกติกาเลือกตั้งไปมา เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
2.ต่อให้แก้กติกา พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ชนะถล่มทลายครับ ครั้งก่อนทั้งกติกา ทั้งสถานการณ์ ทั้งการกุมอำนาจ ได้เปรียบทุกประตู ยังแพ้พรรคเพื่อไทยเลยครับแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมให้ตั้งรัฐบาลได้ ไปแนวนั้นดีกว่า คือ สมานความแตกร้าวในหมู่ 3ป. เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะถ้าขืนแยกกันอยู่อย่างนี้ อีกไม่นานคงมี สส.ตีจากหรือแยกไปตั้งพรรคใหม่ให้เห็นแน่นอน ส่วนพรรคร่วมก็ต้องวางยุทธศาสตร์ร่วมกันดีๆ อย่าตัดคะแนนกันเองจนแพ้ทั้งขบวน
3.เดือนสิงหาคมนี้ ทุกอย่างคงชัดเจนหมด ตั้งแต่อายุการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ปรับหรือไม่ปรับ ครม. ถ้าปรับ จะปรับเล็ก คือ คืนโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีช่วย 2 ตัวที่ว่างอยู่ให้พรรคพลังประชารัฐ หรือจะปรับใหญ่ก็รอความชัดเจนเรื่องคดีของคุณกนกวรรณ วิลาวัลย์กับคุณนิพนธ์ บุญญามณี ให้ชัดว่าศาลจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ แล้วเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยจะให้ลุงป๊อกนั่งต่อ หรือให้ลุงป้อมเข้ามาจัดการ เช่นเดียวกับพรรคใหม่ๆ ไม่ว่าจะพรรคของ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา พรรคของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ต้องลุ้นว่า จะออกมาหน้าตาแบบไหน ใครจะอยู่ ใครจะย้าย ใครจะได้เสนอชื่อ “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ต่อ คำตอบคงค่อยๆ ทยอยโผล่มา
แต่ก่อนอื่น ช่วยกันพาออกจากสถานการณ์ที่“ไม่น่าไว้ใจ” เรื่องแก้กติกากลับมากลับไป จนคนเริ่มจะเห็นใจพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ มากขึ้นแล้ว
เริ่มรังเกียจสันดานสกปรก เรื่องการกำหนดกติกาเพื่อจะเอาเปรียบกันเต็มทีแล้ว
โปรดพาบ้านเมืองและผู้คน เดินออกจากเรื่องโสโครกนี้กันเถอะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี