“แค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วชาตินี้จะไปทำอะไรได้”, “ทำไมถึงทำไม่ได้..คนนั้นยังทำได้เลย” ตัวอย่างของบางคำพูดที่ออกมาจาก “ผู้ใหญ่” ไม่ว่าพ่อแม่ ญาติที่มีอาวุโสมากกว่า ไปจนถึงครูบาอาจารย์ ซึ่งเชื่อว่า “หลายท่านใช้คำพูดแบบนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย..แต่อยากกระตุ้นเรียกลูกฮึดให้ลุกขึ้นสู้กับปัญหา” อีกทั้งท่านเหล่านี้ก็อาจเคยผ่านประสบการณ์ถูกใช้คำพูดดังกล่าวจนกลายเป็นแรงผลักดันให้เอาชนะอุปสรรคต่างๆ มา จึงเชื่อว่านี่เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะหลังๆ กลับพบว่า“คำพูดลักษณะนี้ทำร้ายจิตใจผู้ฟังมากกว่าที่คิด” หลายกรณีนอกจากจะไม่ช่วยให้ลุกขึ้นมาสู้ปัญหาแล้วยังทำให้ดำดิ่งจมกับปัญหาหนักขึ้นกว่าเดิมเพราะ “สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง” จึงไม่แนะนำให้ผู้ใหญ่ใช้แนวทางนี้อีกดังที่ พญ.เสาวนีย์ พิชัยรักษ์พร อนุสาขากุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม เขียนบทความ “8 คำพูด ที่ไม่ควรพูดกับลูก” เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ โรงพยาบาลสมิติเวช โดยตอนหนึ่งระบุว่า..
“3.พูดเปรียบเทียบหรือประชดประชัน เช่น “ไม่เห็นน่ารักเหมือนน้องคนนั้นเลย” “ดูสิ ลูกคนอื่นเขายังทำได้เลย” การที่คุณพ่อ-คุณแม่ใช้คำพูดในลักษณะนี้ เพราะอยากผลักดันให้ลูกเกิดความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น หรือเพื่อให้ลูกพัฒนาตัวเองมากขึ้น แต่รู้มั้ยว่าคำพูดเหล่านี้กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจและทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็กคนอื่น
กลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ และอาจทำให้เด็กมีนิสัยขี้อิจฉา สร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เด็กโดนเอาไปเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กลุกขึ้นมาต่อต้าน บางคนก็อาจแสดงออกด้วยความก้าวร้าว รุนแรง และพยายามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อ-คุณแม่ต้องการ”
ล่าสุดในการแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้หยิบยกกรณีหนึ่งขึ้นมาบอกเล่า เป็นเรื่องราวของอาจารย์ผู้สอนรายหนึ่งใช้ถ้อยคำอันมีลักษณะส่อเสียด ดูหมิ่น เหยียดหยามในการสื่อสารกับนิสิตรายหนึ่งเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำรายงานผ่านระบบการเรียนการสอนออนไลน์ ซึ่งนิสิตเห็นว่าการใช้ถ้อยคำดังกล่าว ทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่มั่นใจ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่เหมาะสมกับวุฒิภาวะ จึงขอให้ตรวจสอบ
ซึ่งแม้เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบต่างๆ แวดล้อมโดยบุคคลอื่นๆ ที่รู้จักกับอาจารย์ท่านนี้ ต่างบอกตรงกันว่าอาจารย์คนดังกล่าวมีอุปนิสัยและลักษณะการพูดที่ค่อนข้างรุนแรง ตรงไปตรงมา อีกทั้งยังไม่เคยพบหรือรู้จักกับนิสิตที่เป็นผู้ร้องเรียนมาก่อนและเป็นการส่งรายงานครั้งแรก จึงเชื่อได้ว่าอาจารย์ท่านนี้เพียงแต่ต้องการ
ตักเตือนว่ากล่าวให้นิสิตปรับปรุงตัว โดยไม่ได้มีอคติส่วนตน จึงสรุปได้ว่ายังไม่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่ถูกร้องเรียนก็ตาม แต่ กสม. ก็ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้
“ผู้ถูกร้องในฐานะที่เป็นทั้งผู้บริหารและอาจารย์ซึ่งมีสถานะเป็นผู้มีอำนาจเหนือในความสัมพันธ์กับนิสิต ต้องระมัดระวังและตระหนักถึงการใช้ถ้อยคำแสดง
ความคิดเห็นหรือว่ากล่าวตักเตือนบุคคลอื่น ที่อาจเป็นการทำร้ายความรู้สึกหรือทำให้ผู้ฟังรู้สึกด้อยค่า ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจทางคำพูดประเภทหนึ่ง (Verbal Abuse) และหากมีการกระทำแบบเดิมซ้ำๆ อาจนำไปสู่การกลั่นแกล้งรังแก (Bullying) ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้พูดในฐานะผู้ส่งสารก็ควรมีความตระหนักถึงการเคารพและให้เกียรติแก่ผู้ฟังหรือผู้รับสารไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในฐานะใด มิใช่มุ่งเพียงเจตนาของตนเพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วอาจเป็นข้ออ้างให้บุคคลนำมาเป็นเหตุผลในการใช้คำพูดเพื่อทำร้ายบุคคลอื่น ซึ่งอาจเป็นการเริ่มต้นของการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือแม้กระทั่งการดูหมิ่นเหยียดหยามโดยอ้างเจตนาที่ดี”
จากเรื่องราวข้างต้น กสม. ได้มีข้อเสนอแนะไว้2 ประการ คือ 1.ให้มหาวิทยาลัยต้นสังกัดกำชับให้ผู้ถูกร้องระมัดระวังการใช้ถ้อยคำในการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมในลักษณะเดิม อันสุ่มเสี่ยงต่อการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น รวมถึงกำชับให้บุคลากรในสังกัดระมัดระวังและตระหนักถึงการใช้ถ้อยคำในการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์อันอาจก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อบุคคลอื่น นอกจากนี้จะต้องรณรงค์ให้นิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยตระหนักถึงการแสดงความคิดเห็นอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นด้วย
2.ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แจ้งมหาวิทยาลัย ทุกแห่งในสังกัดกำชับบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอน ให้ระมัดระวังและตระหนักถึงการใช้ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นอันอาจบั่นทอนหรือลดทอนคุณค่าของบุคคลอื่น รวมถึงให้มีการรณรงค์ให้บุคลากร นิสิต และนักศึกษา ตระหนักถึงการแสดงความคิดเห็นอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างจริงจัง โดยนำรายงานผลการตรวจสอบนี้ไปใช้เป็นข้อมูล
วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฝากข้อคิดในตอนท้ายของการแถลงข่าว ว่า“สิ่งที่เคยถูกต้องในยุคสมัยหนึ่ง..บางทีก็เปลี่ยนแปลงได้และกลายเป็นเรื่องต้องห้ามเมื่อเวลาผ่านไป” เช่น ในอดีตที่ครูสามารถใช้ไม้เรียวเฆี่ยนตีนักเรียนได้ ด้วยความเชื่อยุคนั้นว่าไม้เรียวสร้างชาติเพราะทำให้เด็กมีวินัยตั้งใจเรียน แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถทำได้แล้วเพราะเกิดความรู้ว่าเด็กมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย หรือคำพูดทักทายบางประเภท อาทิ รูปร่างหน้าตา ในอดีตอาจมอง
ว่าไม่เป็นอะไร แต่ปัจจุบันก็แนะนำกันว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นการด้อยค่าและทำร้ายจิตใจผู้อื่น
“กรณีแบบนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่มีการปรับตัวกัน บางทีสิ่งที่อาจารย์ทำก็คือตั้งใจดี มีเจตนาที่ดี แต่คำพูดที่รุนแรงเกินไปบางทีมันก็สามารถที่จะออกได้ทั้ง 2 ทาง บางทีก็ทำให้เด็กเข้าใจเจตนารมณ์ที่ดีแล้วก็พยายามพัฒนาตัวเอง แต่ขณะเดียวกัน บางทีสิ่งนี้มันก็ไปทำร้ายเด็กแล้วก็เป็นบาดแผล สิ่งที่เราเสนอคืออาจารย์หรือบุคลากรในมหาวิทยาลัยก็คงต้องระมัดระวังเรื่องการสื่อสาร นอกจากความตั้งใจดีแล้ว การสื่อสารที่ดีก็ควรจะต้องเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไปด้วย” วสันต์ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี