วิกฤตสารพัดกำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราและกำลังก่อเกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งอันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในประเทศไทย นั่นคือการก่อตัวของกระแสปฏิวัติประชาชาติ ที่ประชาชนวงการต่างๆ ทุกสีทุกหมู่ทุกเหล่าไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อีกต่อไป
สารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต้องกล่าวว่าการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นต้นเหตุที่สำคัญที่เป็นแหล่งเพาะและสร้างปัญหาทุกประการขึ้นในประเทศไทย และรัฐธรรมนูญนี้มีลักษณะอย่างไรนั้นก็เป็นที่รู้กันทั่วไปจากคำกล่าวของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลคนหนึ่งที่พูดอย่างหน้าตาเฉยว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อพวกเรา
ไม่ใช่การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นหลักแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแห่งมหาชนชาวสยาม เพื่อความมั่นคงสถาพรของมาตุภูมิ และเพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และความผาสุกของปวงชน
รากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้มีที่มาจากการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และพวกเป็นผู้รับผิดชอบซึ่งอาจสรุปรากเหง้าของปัญหาและความวิปริตผิดเพี้ยนที่วางหมากวางกลจนเป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพวกเราในประการสำคัญได้ดังนี้
ประการแรก รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาซึ่งถือเป็นผู้แทนของปวงชนนั้น ปรากฏว่าคณะสาม ป. เป็นผู้แต่งตั้งผู้แทนในชื่อของสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนถึง 250 คน ในขณะที่ประชาชนไทยทั้งประเทศ 69 ล้านคน มีสิทธิ์เลือกผู้แทนได้เพียง 500 คน แค่สัดส่วนเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าอำนาจอธิปไตยซึ่งระบุว่าเป็นของปวงชนนั้น แท้จริงได้ใช้ผ่านคณะสาม ป. ถึง 1 ใน 3
ประการที่สอง สมาชิกวุฒิสภา 250 คน ซึ่งปกติในระบอบประชาธิปไตยทั้งปวงจะมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ตรวจสอบ และควบคุมการทำงานของรัฐบาล แต่กลับเปลี่ยนแปลงหลักการใหญ่นี้ให้เป็นลูกไม้ลูกมือทางการเมือง คือเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีในระยะ 5 ปีแรก และกลายเป็นลูกไม้ลูกมือให้แก่ฝ่ายบริหารอันเห็นประจักษ์ชัดในปัจจุบันนี้
ดังนั้นการกำกับ ควบคุม ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารจึงสิ้นสูญไป และกลายเป็นองค์กรอุ้มชูปกป้องความผิดร้ายทั้งหลายให้กับฝ่ายบริหาร ดังที่ถูกสาปแช่งกันทั้งบ้านทั้งเมืองในขณะนี้
ประการที่สาม วุฒิสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการคัดเลือกกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอีกจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อสมาชิกวุฒิสภาอยู่ใต้อาณัติของนักการเมือง การให้ความเห็นชอบและการคัดเลือกดังกล่าวจึงเป็นไปตามอาณัติของนักการเมืองเป็นผลให้การให้ความเห็นชอบและการคัดเลือกดังกล่าวอยู่ใต้อาณัติหรือต้องฟังเสียงนักการเมืองผู้มีอำนาจ ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรทั้งหลายที่เกิดจากการให้ความเห็นชอบคัดเลือกดังกล่าวจึงเป็นปัญหาความกังขาในใจของประชาชนจนสุดแสนจะทนทานได้อีกต่อไป
ประการที่สี่ การลิดรอนและบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ยกระดับและขยายขอบเขตมากขึ้นโดยเฉพาะก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังลงประชามตินั้น มีบทบังคับพระมหากษัตริย์จนสุดแสนจะรับได้ เช่น การบังคับพระมหากษัตริย์ให้ทรงตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในทุกกรณีที่เสด็จไปต่างประเทศ และมีบทตัดพระราชอำนาจว่ามาตรแม้นไม่ทรงตั้งก็ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในที่สุดก็ต้องแก้ไขเพราะไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด
มีการบิดเบือน ลิดรอนพระราชอำนาจในแทบทุกบทมาตราแม้ตั้งต้นด้วยบทว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างไร แต่ปรากฏว่ามีการกำหนดเงื่อนไขขั้นตอนที่การใช้พระราชอำนาจเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายบริหารเห็นชอบ หรือเสนอ หรือไม่ก็ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ให้ความเห็นชอบก่อน นี่คือกระบวนการที่ค่อยๆ ทำให้พระประมุขกลายเป็นตรายาง ซึ่งต้องถือว่าเป็นการกระทำด้วยจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเลือดเย็นมาก
การบิดเบือนยังยกระดับไปถึงขั้นที่ว่าเบียดบังพระราชอำนาจเช่น การยุบสภา ก็มีการพูดมีการกระทำนานาประการเพื่อให้คนทั้งปวงเข้าใจว่าเป็นอำนาจเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรี ในลักษณะที่นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาหรือจะปรับคณะรัฐมนตรีตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้
ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภาหรือในการปรับคณะรัฐมนตรี แต่ก็มิได้นำพา ยังพร่ำยัดเยียดให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ให้สังเกตดูว่าใครหน้าไหนบ้างที่เพียรพูดอยู่เสมอว่าถ้าอย่างนั้นนายกรัฐมนตรีก็จะยุบสภาหรือปรับคณะรัฐมนตรี นี่คือการก้าวล่วงพระราชอำนาจที่เห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัดที่สุด
ประการที่ห้า บัญญัติวิธีในการร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีลักษณะเจ้าเล่ห์แสนกล ทำให้มีความคลุมเครือ วกวน สับสนอลหม่าน ไม่มีความสมบูรณ์ในแต่ละบทมาตรา มีการอ้างอิงยึดโยงสลับซับซ้อนประดุจดังเขาวงกต มีข้อยกเว้นมากหลาย และยังมีข้อยกเว้นซ้อนข้อยกเว้น และยังมีการกำหนดห้วงเวลาในการใช้ข้อยกเว้นอีกมากมาย ดังตัวอย่างเช่น เวลาดำรงตำแหน่ง 8 ปีของนายกรัฐมนตรีก็เขียนจนมีปัญหาทะเลาะกันทั้งบ้านทั้งเมือง
การใช้เล่ห์กลในบัญญัติวิธีนั้นมีนัยสำคัญอยู่ตรงที่ทุกเรื่องราวเปิดช่องหมาลอด คือมีจุดให้อ้างได้ว่าต้องตีความอยู่แทบทุกบทมาตรา ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องตีความมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังต้องตีความกันตั้งแต่ยังไม่ประกาศใช้ด้วยซ้ำไป แม้เมื่อประกาศใช้แล้วก็ต้องตีความกันแทบทุกบทมาตรา กระทั่งเรื่องง่ายๆ ระยะเวลา 8 ปีก็ยังหาเรื่องแถตีความกันตามอำเภอใจ จนใกล้จะกลายเป็นจุดระเบิดของวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ประการที่หก เป็นบัญญัติวิธีที่วิปริตฟั่นเฟือนมากที่สุด คือนำเอาเรื่องที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญเข้ามาสุมรุมไว้ให้เป็นรัฐธรรมนูญ เกือบครึ่งหนึ่งของเนื้อหาเป็นเรื่องคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ซึ่งสับสนอลหม่าน และบทมาตราอีกจำนวนมากเป็นเรื่องของวิธีการประชุม ซึ่งมีข้อยกเว้นซ้อนข้อยกเว้นอย่างสลับซับซ้อน
เป็นการฝ่าฝืนกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อย่างไม่ไยดี เนื่องจากพระองค์ทรงพระเมตตาแก่ราษฎร พระราชทานพระราชกระแสให้เป็นหลักในบัญญัติวิธีว่าการร่างรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องร่างให้สั้นไม่ให้ยาว ต้องร่างให้มีความแจ้งชัด คือมีความชัดเจน มีความแจ่มแจ้ง และต้องใช้ภาษาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าใจได้
แต่มิได้นำพาเลย เป็นการร่างรัฐธรรมนูญที่ยาวที่สุด ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากที่สุด มีแง่มุมให้ผู้มีเถยจิตคิดชั่วใช้เป็นเหตุอ้างตีความ และได้วางกลไกที่เกี่ยวข้องในการตีความไว้ในทุกด้าน ไม่ว่าในส่วนของที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลคือคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือในองค์กรฝ่ายตุลาการ กลายเป็นคู่ผูกขาดหรือเป็นเจ้าของเจตนารมณ์แห่งร่างรัฐธรรมนูญนั้นไป
ประการที่เจ็ด มีการร่างเนื้อหาแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีบทยกเว้นให้อภิสิทธิ์แก่ผู้มีอำนาจในการใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ และตั้งตนอยู่ในฐานะเหนือกฎหมาย ที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องได้ตามอำเภอใจ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีความเหลิงลำพองในอำนาจ ไม่ยำเกรงในพระบรมเดชานุภาพ ไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา จึงกล้าบังอาจกระทำย่ำยีกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมชนิดไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน
จนเกิดวลีที่ประชาชนกล่าวขานกันโดยทั่วไปว่าคุกมีไว้สำหรับขังคนจน
ประการที่แปด เพราะการร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย และเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจและพวกพ้องในการใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่ยำเกรงต่ออำนาจแห่งกฎหมายและความยุติธรรม ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจเหลิงระเริงไปทั้งแผ่นดิน โดยมิได้นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร ดังที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงต้องถือว่าเป็นอนันตริยกรรม หรือเป็นการกระทำของเหล่าอาชญากรทางกฎหมายที่เป็นรากเหง้าของวิกฤตในบ้านเมืองที่ถึงขั้นนำไปสู่การปฏิวัติประชาชาติได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี