การประชุมสภาคองเกรส ครั้งที่ 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งก็ยุติลงอย่างราบรื่นด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการกลางชุดใหม่ (The Central Committee) จำนวนประมาณ 208 คน การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร (Politburo) ประมาณ 25 คน โดยจากจำนวนนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประจำ (Standing Committee) จำนวน 7 คน ซึ่งจัดว่าเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เลขาธิการพรรค ได้แก่ นายสี จิ้นผิง ซึ่งก็ได้รับฉันทามติให้ดำรงตำแหน่งไปอีกวาระหนึ่งเป็นเวลาอีก 5 ปี (หลังจากดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 วาระ รวม10 ปี) นอกจากนั้น นาย สี จิ้นผิง จะยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปเป็นเวลาอีก 5 ปีเช่นกัน และหลังจากนี้ก็จะมีการยืนยันให้เป็นประธานาธิบดีอีก 5 ปี ในระหว่างการประชุมสภาสมัชชาแห่งชาติที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่า นายสี จิ้นผิง จะดำรงตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของจีน ทั้งการเป็นเลขาธิการพรรค เป็นประธานาธิบดีหรือประมุขสูงสุดของประเทศ และประธานคณะกรรมการบริหารกองทัพ จัดได้ว่านายสี จิ้นผิง ควบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ เหมือนในยุคสมัยเหมา เจ๋อตุง
ในการนี้ สี จิ้นผิง ถือเป็นผู้นำสูงสุด (Paramount Leader) หามีผู้ใดเสมอเหมือนไม่ ความคิดอ่านของเขาจะเป็นแนวทางให้พรรค และสังคมจีนยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสั่งของเขาเป็นประกาศิต ซึ่งเท่ากับว่าลัทธิบูชาบุคคล (Personality Cult) ได้กลับมาเป็นลักษณะและวิธีการบริหารบ้านเมือง และเป็นการล่มสลายวิธีการบริหารบ้านเมืองแบบช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยรับผิดชอบ (Collective Leadership)
อย่างไรก็ดี การที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้รับการเลือกให้เป็นผู้นำต่ออีกสมัย ก็เพราะมากไปด้วยฝีไม้ลายมือ ประสบการณ์ ความเอาจริงเอาจัง และความอดทนกับหน้าที่การงานมาโดยตลอดตั้งแต่เยาว์วัย มีความสามารถในการบริหารจัดการ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายสมัครพรรคพวกทั้งในพรรค กองทัพและรัฐบาล อีกทั้งได้ประสบความสำเร็จในการใช้นโยบาย
ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเครื่องมือเสริมสร้างคะแนนนิยมและการสนับสนุนจากประชาชนพลเมือง ควบคู่ไปกับการขจัดคู่แข่งคู่ต่อสู้ทางการเมืองใดๆ อย่างสัมฤทธิผล
ทั้งนี้ในแวดวงการเมืองของจีนก็มีความเชื่อมั่นว่า การมีผู้นำที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวนั้น จะเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่น เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้า และความยิ่งใหญ่ให้กับประเทศจีนได้
จีนภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ต้องการที่จะให้จีนขึ้นมายิ่งใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลก ขจัดอิทธิพลของฝ่ายตะวันตก โดยมุ่งที่จะทำให้จีนสู้กับฝ่ายตะวันตกได้ ทั้งในเรื่องความใหญ่โตของเศรษฐกิจ แสนยานุภาพทางการทหาร และกิจการอวกาศ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจีนมุ่งมั่นที่จะมีบทบาทอันสำคัญในเวทีโลก เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของจีน และปรับเปลี่ยนความไม่สมดุลของอำนาจที่ได้ถูกนำพาและครอบงำโดยฝ่ายตะวันตกมาเป็นเวลายาวนาน
ในขณะเดียวกัน จีนก็จะมุ่งลดการพึ่งพาตลาดโลก โดยจะแยกตัวเองออกมาจากการต้องผูกพันและผูกติดกับเศรษฐกิจการค้าของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา (Decoupling) อาทิ จีนรับการลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้กับโลก และส่งออกไปขายในต่างประเทศ และรายได้หรือกำไร ก็นำไปซื้อพันธบัตรของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ประสงค์ที่จะเลิกพัวพันกับฝ่ายตะวันตกแบบนี้ เพราะเมื่อมีปัญหาขัดแย้งกับสหรัฐฯ เมื่อใด ก็จะมีผลกระทบต่อจีนโดยตรง ในการนี้ จีนจึงกำหนดนโยบายเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่เรียกว่า Double Circulation ซึ่งหมายถึง การให้โลกพึ่งพาสินค้าจีน แต่ในขณะเดียวกันจีนก็จะลดการพึ่งพาต่างประเทศทั้งในเรื่องการค้าขาย และเทคโนโลยี โดยจะหันมาพึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก
สำหรับเป้าหมายทิศทางภายในประเทศนั้น ซึ่งจีนได้ประสบความสำเร็จในการขจัดความยากจน (Poverty Eradication) ไปแล้ว ซึ่งต่อจากนี้ไป จีนจะต้องขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างเมืองกับชนบท และระหว่างผู้มีอันจะกินจำนวนน้อยกับชาวบ้านที่ยังยากไร้โดยทั่วไป ด้วยนโยบายที่เรียกว่า Common Prosperity หรือนัยหนึ่งให้มีการกระจายความมั่งมีศรีสุข และยกระดับผู้คนที่ยังล้าหลังอยู่ นอกจากนั้น ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็มุ่งมั่นที่จะเร่งเสริมสร้างสังคมจีน ที่จะมีความทันสมัยทัดเทียมกับประเทศตะวันตกและอื่นๆ (Modernization)
ในการนี้ จีน ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็ยังจะขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายผสมผสานระหว่างลัทธิสังคมนิยม กับลัทธิชาตินิยม นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่มีทั้งระบบสังคมนิยม คือภาครัฐทำธุรกิจควบคู่ไปกับระบบธุรกิจเอกชน โดยทางพรรคและรัฐจะมีบทบาทในการควบคุมความมากน้อยของเศรษฐกิจภาคเอกชน
ทั้งหมดนี้ เครื่องมือกลไกอันสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ทิศทาง และมาตรการดังกล่าวก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีน
ที่มีจำนวนสมาชิก 90 กว่าล้านคน จากประชากร 1,300 กว่าล้านคน ภายใต้การนำพาของบุคคลคนเดียวคือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าของจีนที่เป็นเรื่องท้าทายประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และอนาคตทางการเมืองของเขาว่า จะสามารถอยู่ในอำนาจได้ไปตลอดชีวิตได้หรือไม่ ก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนโยบายปราบปรามโรคโควิด-19 ให้เป็นศูนย์ (Zero COVID-19) ซึ่งจีนยอมแลกกับการชะลอตัวและการถดถอยของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาความเสียหายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงเรื่องการขาดทุน และการทุจริตของวิสาหกิจรัฐต่างๆ รวมไปถึงการดำเนินนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งถนน (One belt one road) ซึ่งดูว่าจะก่อให้เกิดการขาดทุน ไม่ก่อให้เกิดกำไร และยังได้รับปฏิกิริยาต่อต้านจากประเทศผู้ร่วมมือและรับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับอีกด้วย
นอกจากนั้น การมุ่งมั่นที่จะรวมจีนแผ่นดินใหญ่กับจีนเกาะไต้หวันในช่วงอายุคนนี้ ก็อาจจะนำไปสู่สภาวะศึกสงครามที่ไม่มีผู้ใดต้องการ และจะสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อทุกฝ่าย ก็ขึ้นอยู่กับว่าประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะได้ตระหนักแล้วหรือยังว่า การวางตัวแบบ ขิงก็รา ข่าก็แรง จะทำให้ประสบความสำเร็จ
หรือความหายนะกันแน่
เมื่อเราพอจะทราบได้ว่าจีนบริหารประเทศอย่างไร และกำลังจะเคลื่อนไปในทิศทางใด ไทยเราก็ต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง ว่าเราจะวางตัวอย่างไรในการดำเนินความสัมพันธ์กับจีนให้เหมาะสม และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนี้ไทยเราก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง มีศักดิ์ศรี และมีเหตุมีผล และหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายกับจีนมาจากความรู้สึกเกรงกลัว และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อีกทั้งไทยเราก็ต้องมีความสามารถในการเสริมสร้างความสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ไทย-จีน กับความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ให้ได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี