ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัมพูชา ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กระชับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ ในขณะที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนเรียกร้องให้กระชับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีน แค่เรื่องนี้ที่ปรากฏในเวทีอาเซียน ประเทศไทยก็ขายหน้าเสียผู้เสียคนในเวทีระหว่างประเทศอย่างน่าใจหาย
และความจริงในการเสนอเรื่องใดๆ ต่อการประชุมทวิภาคีระหว่างอาเซียนกับสหรัฐนั้น เป็นหน้าที่ของประธานอาเซียนคือสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้แทนของอาเซียนในการประชุมหารือกับผู้นำสหรัฐ ไม่ใช่กงการอะไรของประเทศไทยที่ไปผ่าเหล่าหิวแสงแบบนั้น
ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอาเซียนถูกกดดันครอบงำอย่างรุนแรงจากชาติมหาอำนาจ ดังนั้น มติเรื่องหนึ่งของอาเซียนคือจะร่วมกันกดดันเมียนมาให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลเมียนมากับฝ่ายต่อต้านของออง ซาน ซู จี โดยสหรัฐจะสนับสนุนทางการทหารแก่ประเทศอาเซียนเป็นวงเงิน 40,000 ล้านบาท
ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ได้ฝ่าฝืนกฎกติกาอาเซียนข้อแรกสุดคือแทรกแซงกิจการภายในของเมียนมา และตัดสิทธิ์ไม่ให้เมียนมาซึ่งเป็นสมาชิกเข้าประชุม ดังนั้นมติที่ประชุมดังกล่าวจึงผิดหลักปฏิญญาอาเซียนตั้งแต่ต้น และเมียนมาก็ปฏิเสธไม่ยอมรับมตินี้
จากนั้นก็ต้องทำความเข้าใจว่าการให้ประเทศอาเซียนกดดันเมียนมาให้เจรจากันนั้นหมายถึงการเจรจาเพื่อคืนอำนาจแก่นางออง ซาน ซู จี ซึ่งรัฐบาลเมียนมาไม่มีวันยินยอมโดยเด็ดขาด มติดังกล่าวจึงหาค่าทางความเป็นจริงใดๆ ไม่ได้
ที่สำคัญ ขั้วอำนาจอื่นของโลกโดยเฉพาะขั้ว SCO ก็ไม่มีวันยอมรับและย่อมให้การสนับสนุนรัฐบาลเมียนมา ซึ่งขณะนี้ได้กระชับความร่วมมือกับขั้ว SCO อย่างเข้มข้น และได้รับการสนับสนุนทางด้านการทหารทั้งจากรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ อย่างเต็มที่
มาถึงการจัดเงินสนับสนุนทางการทหาร 40,000 ล้านบาท ให้แก่ประเทศอาเซียนเพื่อใช้ในการกดดันเมียนมานั้นไม่ใช่เงินให้เปล่า แต่เป็นเงินสนับสนุนแบบเดียวกันกับที่สหรัฐสนับสนุนแก่ยูเครนจนประเทศยูเครนกำลังสิ้นชาติอยู่ในขณะนี้
นั่นคือเป็นกรณีที่รัฐบาลยูเครนต้องทำสัญญากู้เงินจากสหรัฐตามจำนวนที่ให้การสนับสนุน และสหรัฐจะได้นำเงินดังกล่าวไปชำระเป็นค่าอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อส่งไปให้แก่ยูเครน ดังนั้นเงินสนับสนุนลักษณะนี้จึงเป็นลักษณะก่อหนี้เพื่อซื้ออาวุธ แต่สำหรับกรณีเมียนมานั้นกลายเป็นก่อหนี้ซื้ออาวุธเพื่อไปกดดันหรือทำสงครามกับเมียนมา ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ ก็ตาม
หลังประชุมสุดยอดอาเซียนไม่ทันข้ามวัน ประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียได้แถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าอินโดนีเซียจะไม่ยินยอมให้อาเซียนถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อความขัดแย้งและสงครามกับสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ซึ่งหมายถึงอินโดนีเซียไม่เอาด้วยกับมติของอาเซียน-สหรัฐ ดังกล่าว
ส่วนลาว กัมพูชา และเวียดนามนั้นได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการรับเงินสนับสนุนลักษณะนี้เพราะไม่ต้องการเป็นศัตรูหรือทำสงครามกับเมียนมา โดยกัมพูชานั้นได้แสดงท่าทีชัดเจนกว่าใคร ส่วนมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนนั้นแม้ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ แต่ก็คงไม่ยอมรับเงินสนับสนุนแบบนี้ เพราะประเทศเหล่านี้อยู่ในอาเซียนใต้ห่างไกลออกไปจากเมียนมามาก
จึงคงเหลือประเทศไทยประเทศเดียวว่าจะรับเงินสนับสนุนจำนวน 40,000 ล้านบาท ตามที่สหรัฐจะให้การสนับสนุนเพื่อใช้ในการกดดันเมียนมาหรือไม่
ถ้าประเทศไทยยอมรับการสนับสนุนแบบนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวข้องทางกฎหมายหลายประการ และมีข้อควรทำความเข้าใจเพิ่มเติมคือ
ประการแรก การที่ประเทศไทยจะไปกู้เงินต่างประเทศเพื่อซื้ออาวุธนั้นจะต้องผ่านกระบวนการตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ และกฎหมายงบประมาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพราะเมื่อเป็นการกู้เงิน เงินกู้นั้นก็เป็นรายได้แผ่นดินที่กฎหมายบังคับให้นำเข้าฝากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 และนำเงินดังกล่าวออกไปใช้จ่ายไม่ได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมายงบประมาณ
และถ้ามีการเสนองบประมาณเรื่องนี้เมื่อใดก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะได้รับการสนับสนุนหรือคัดค้านจากคนไทยทั้งประเทศ
ประการที่สอง ถ้าประเทศไทยรับเงินสนับสนุนไปซื้ออาวุธไปกดดันเมียนมาก็จะเกิดความเป็นปรปักษ์ระหว่างไทย-เมียนมา แทนที่จะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี ก็ให้คำนึงถึงชาวเมียนมาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยร่วม 3-4 ล้านคนว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ประการที่สาม เมื่อใดที่ประเทศไทยรับเงินสนับสนุนมากดดันเมียนมา เมียนมาก็ย่อมต้องเสริมกำลังแสนยานุภาพเพื่อรับมือกับแรงกดดันนั้น โดยเฉพาะพันธมิตรของเมียนมาไม่ว่ารัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ ก็จะเพิ่มการสนับสนุนให้กับเมียนมามากขึ้นหลายเท่า และความสนับสนุนดังกล่าวนั้นอาจเป็นการให้เปล่าเหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา
ประการที่สี่ เมื่อความเป็นปรปักษ์ยกระดับมากขึ้น ความขัดแย้งและภาวะสงครามไทย-เมียนมา ก็ย่อมยกระดับตามไปด้วย ประเทศไทยที่สวยงามและสงบสุข แม้ราษฎรทุกข์เข็ญด้วยสภาพเศรษฐกิจ ก็จะเกิดภาวะสงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้น บรรยากาศสงครามไทย-เมียนมา ในสมัยอยุธยาก็จะกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงเมื่อครั้งไทยเข้าร่วมสงครามอินโดจีนกับสหรัฐ และสหรัฐพ่ายแพ้สะบัดก้นหนีกลับประเทศ
ในยามนั้นประเทศไทยต้องยืนอยู่ต่อหน้าศึกโดยลำพัง จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากจีน มาครั้งนี้ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยประสบชะตากรรมและตกอยู่ในสภาพความขัดแย้งและสงครามที่เป็นเครื่องมือของนักล่าอาณานิคม จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่จะต้องพร้อมเพรียงกันขัดขวางอย่าให้ความเป็นปรปักษ์ระหว่างไทยกับเมียนมาเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี