โลกวันนี้ มีคำถามทั่วไปที่ว่า สงครามยูเครน-รัสเซียจะยืดเยื้อไปได้อีกนานเท่าใด? หรือจะสิ้นสุดกันอย่างไร?
ซึ่งมันเป็นคำถามที่ยากที่จะหาคำตอบได้ เพราะฝ่ายหนึ่งคือ รัสเซีย ที่ป่าวประกาศว่าตนแพ้ไม่ได้ พร้อมกับบอกกล่าวในเชิงขู่สำทับว่า ได้เตรียมความพร้อมไว้ในเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์แบบยุทธวิธี (Tactical Nuclear Weapons) หรือนัยหนึ่งคือจะสู้รบกันให้ถึงที่สุดแม้จะต้องยับเยินกันไปทั่ว ในขณะที่ฝ่ายยูเครนก็ยังยืนหยัดกับท่าทีที่ว่า จะต้องขับไล่รัสเซียออกไปจากดินแดนของตน รวมทั้งเรียกคืนพื้นที่ที่เคยสูญเสียให้กับฝ่ายรัสเซียไปก่อนหน้านี้ นั่นคือเขตไครเมีย (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557)และยังคงเรียกร้อง และเปิดรับความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิกองค์การนาโต ทั้งทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ความช่วยเหลือทางด้านข่าวกรอง และข้อมูลข่าวสารจากดาวเทียม ไปจนถึงการเพิ่มมาตรการของฝ่ายพันธมิตรของตน (ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา)ในการเพิ่มพูนการคว่ำบาตรฝ่ายรัสเซีย และการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อประณามฝ่ายรัสเซีย และหาความชอบธรรมและความเห็นอกเห็นใจจากประชาคมโลก
ในการนี้ยังถือว่าฝ่ายรัฐบาลยูเครนสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในได้ เพราะยังไม่มีการแตกแถวในกลุ่มผู้นำ และในแวดวงทางทหาร แม้ว่าประชาชนพลเมืองจะกระจัดกระจายกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัยในต่างแดนอย่างมากมาย และที่ยังเหลืออยู่ในประเทศก็ต้องเผชิญกับความอดอยากยากแค้นต่างๆ นานา
ส่วนทางฝ่ายรัสเซียโดยประธานาธิบดี ปูติน ก็ยังควบคุมสถานการณ์ภายในไว้เช่นเดียวกัน แถมยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ ทำให้สามารถประคับประคองประเทศไปได้ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรอย่างใหญ่หลวงของฝ่ายพันธมิตรยูเครน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจการค้า และในเรื่องการเงินที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก รวมทั้งจากการถูกอายัดเงินตราที่มีอยู่ในต่างประเทศ กล่าวคือการคว่ำบาตรต่างๆ นานา มีผลกระทบในวงจำกัดมิได้กระทบกระเทือนรัสเซียอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่งอ่อนเปลี้ยไม่สามารถดูแลประชาชนพลเมืองและไม่สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และทำการสู้รบต่อไปได้ อย่างที่ฝ่ายตะวันตกต้องการ
เมื่อฝ่ายยูเครนยังมีขวัญกำลังใจที่จะทำการสู้รบ และยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอย่างแข็งขัน และหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายรัสเซียก็ยังสามารถยืนหยัดบนลำแข้งของตนเองได้ เพราะมีอาหาร มีเชื้อเพลิง มีทรัพยากรธรรมชาติ และองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งก็ดูมีความมั่นใจ และไม่สะทกสะท้านกับการถูกคว่ำบาตร ถูกกดดันจากฝ่ายพันธมิตรยูเครน
ในรูปการณ์นี้ได้ทำให้สงครามสู้รบส่อไปในทิศทางของความยืดเยื้อ และการทวีขึ้นของความรุนแรง เมื่อต่างฝ่าย
ต่างยืนหยัดอยู่ในท่าทีของตนเอง และยังดูมีความมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายของฝ่ายตน
ในมุมกว้าง ฝ่ายประชาชนพลเมืองของยูเครนก็คงต้องทนทุกข์ทรมานกันต่อไป บ้านเมืองก็จะต้องราบพนาสูร
ไปยิ่งๆ ขึ้น เพราะทั้งประเทศก็คือสนามรบ ขณะที่ฝ่ายประชาชนพลเมืองของรัสเซียก็จะสูญเสียโอกาส และชีวิตถูกจำกัดเพิ่มขึ้นโดยตัวตนและประเทศของตนก็จะเป็นที่รังเกียจ ไม่พึงปรารถนาจากประชาคมโลก และจากกลุ่มประเทศพันธมิตรยูเครน
ทั้งนี้ประชาชนพลเมืองของยุโรป และอเมริกาเหนือต่างก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่รัฐบาลต่างๆ ของฝ่ายตน ต้องนำงบประมาณส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือ สนับสนุนยูเครน แทนที่จะนำเก็บไว้ใช้เพื่อการทำนุบำรุง และพัฒนาประเทศดังปกติ
นอกจากนั้นประชาชนพลเมืองในโลกกว้าง ที่ต้องอาศัยการบริโภคอาหาร และเชื้อเพลิงธรรมชาติจากทั้งยูเครนและรัสเซียก็ต้องมาตกระกำลำบากไปด้วยจากการขาดแคลนสินค้าจำเป็นด้วยสนนราคาที่สูงขึ้นมาก ได้กลายเป็นภาระหนักหน่วงต่อการดำรงชีพประจำวัน
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า สงครามยูเครน-รัสเซีย เป็นคู่ขนานกับสงครามเศรษฐกิจการค้า ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนพลเมืองทั่วโลก ทั้งประชาชนพลเมืองของบรรดาประเทศคู่อริและประชาชนพลเมืองที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ยิ่งสงครามสู้รบและสงครามคว่ำบาตรยืดเยื้อต่อไป
ก็เท่ากับว่าโลกมนุษย์กำลังทำลายตนเองอย่างไร้สติ โดยเอาความยึดมั่นถือมั่น เอาความแพ้ชนะเป็นตัวตั้ง ทั้งๆ ที่
มวลมนุษยชาติสามารถจะยุติความยืดเยื้อต่างๆ นี้ได้ หากเอาสติเป็นที่ตั้ง แล้วเอาสันติภาพเป็นเป้าหมายและวิถีชีวิต
ถ้าคิดจะเอาผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติโดยรวมเป็นที่ตั้งแล้ว บรรดาผู้ฝักใฝ่สันติภาพทั้งหลายก็ต้องออกมาเรียกร้องให้มีการหยุดยิง และกดดันให้คู่กรณีหันกลับสู่โต๊ะเจรจา ด้วยการตระหนักว่าความปรารถนาสูงสุดของฝ่ายตนนั้นๆ มิสามารถที่จะบรรลุถึงเป้าหมายนี้ได้จะต้องอยู่ร่วมกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย ได้บ้างเสียบ้างเพื่อสันติสุข และความเจริญก้าวหน้าของโลกมนุษย์อีกต่อไป
หากมนุษย์มีสติปัญญาที่จะสร้างสงคราม มนุษย์ก็ต้องมีสติปัญญาที่จะสร้างสันติภาพได้เช่นกัน และในกรณีสงครามยูเครน-รัสเซียนี้ บรรดาผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องตระหนักว่า สงครามมิสามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถาวร หากการเจรจาด้วยสันติวิธีเท่านั้นที่จะเป็นทางออก
จริงอยู่ที่ว่า ความดึงดันมุทะลุนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์เยี่ยงสัตว์ทั้งหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่สัตว์ทั้งหลายมิมีเฉกเช่นมนุษย์ก็คือ ความคิดอ่าน สติปัญญาที่จะทำการในสิ่งที่ดีงามได้ เราจึงต้องประพฤติตนกันให้สมกับความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะการร่วมกันสร้างโลกที่สงบ สันติ ให้ลูกหลานเราได้อยู่กันอย่างมีความสุขต่อไปในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี