นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์นี้ (หลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน) โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 4 ที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนต่อจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน เป็นการสะท้อนให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเป็นประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนด้วยกัน
การเยือนนอกจากเป็นเรื่องของการแนะนำตัว ทำความรู้จักกับผู้นำของประเทศดังกล่าว และเป็นการกระชับมิตรไมตรีและความสัมพันธ์ทวิภาคี แต่การมาเยือนประเทศไทยของนายอันวาร์ อิบราฮิม นั้นยังมิได้เป็นเพียงการเยือนแบบทั่วๆ ไปที่ผู้นำประเทศเมื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ มักจะกระทำกันอยู่ หากแต่การมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ นายอันวาร์ อิบราฮิม มีจุดมุ่งหมายเป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเศรษฐกิจการค้า เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ และเทคโนโลยีว่าด้วยพลังงานทดแทนและหมุนเวียน เป็นต้น
แต่ที่สำคัญยิ่งก็คือ นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้แสดงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาของความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่อยู่ติดกับทางภาคเหนือของมาเลเซีย โดยฝ่ายมาเลเซียจะดำเนินการโดยการอำนวยความสะดวก หรือช่วยเป็นธุระให้มีการพบปะ และช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลไทย กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ติดอาวุธ โดยประสงค์ที่จะให้สันติภาพและความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่ดินแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งจะมีผลกระทบในเชิงบวกต่อชีวิต และการทำมาค้าขายระหว่างชาวไทยกับชาวมาเลเซียได้อย่างมากอีกด้วย โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นั้นตระหนักดีว่าเรื่องปัญหาการแบ่งแยกดินแดนเป็นเรื่องภายในของฝ่ายไทย แต่เมื่อมาเลเซียอยู่ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและได้รับผลกระทบเกี่ยวข้อง ก็เห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ที่จะช่วยอำนวยให้ความขัดแย้งและความรุนแรงยุติลง และความสงบผาสุกก็จะได้กลับคืนมา
การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย จึงมีความหมายที่ลึกซึ้ง และอาจจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ รวมทั้งการเพิ่มคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียในมุมกว้าง เพราะท่าทีของผู้นำมาเลเซียนั้นแน่ชัดและเป็นที่เปิดเผยที่จะช่วยไทยแก้ปัญหาภาคใต้ เป็นการให้คำมั่นสัญญาและผูกมัดมาเลเซียเองอย่างไม่มีข้อสงสัย ซึ่งก็มีดีกรีความเข้มข้น และความน่าเชื่อถืออย่างที่ผู้นำมาเลเซียที่ผ่านๆ มาไม่เคยกระทำมาก่อน
ฉะนั้นในการนี้ก็เป็นภาระหน้าที่อันสำคัญของผู้นำไทย ทั้งในชุดปัจจุบันและในอนาคตที่จะต้องตอบสนองฝ่ายมาเลเซียอย่างจริงจัง ตั้งแต่การประกาศตอบรับข้อเสนอของฝ่ายนายกรัฐมนตรีมาเลเซียดังกล่าว ไปจนถึงการแต่งตั้งผู้นำคณะผู้แทนเจรจาของฝ่ายไทยที่จะเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นผู้ที่ผู้คนยอมรับเป็นการทั่วไป ทั้งในขีดความสามารถและทัศนคติที่สร้างสรรค์ นอกจากนั้นก็จะต้องมีการทบทวนประเด็นปัญหาสำคัญๆ เช่น
1.การประกาศการหยุดยิง หรือการหยุดการใช้ความรุนแรง
2.การยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึก กฎหมายความฉุกเฉินและความมั่นคงภายใน เพื่อให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พ้นจากสถานะของการตกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามและการปกครองและยึดครองของฝ่ายกองทัพ โดยการเพิ่มศักยภาพของฝ่ายพลเรือนและตำรวจ เพื่อเข้ารับหน้าที่แทนฝ่ายกองทัพในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประจำวันของผู้คน
3.การอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรมตามแต่กรณี ให้กับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ และฝ่ายผู้ก่อการร้าย โดยให้พินิจพิจารณาจากมุมมองของเรื่องการเมือง และเรื่องมนุษยธรรมเป็นสำคัญ เพื่อจะได้เลิกรากันไป แล้วสังคมก็จะได้เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการอภัยต่อกันและกัน และการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งทั้งนี้ก็จะอำนวยให้ฝ่ายมาเลเซียปลดอาวุธและส่งมอบสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่มีคดีและไม่มีคดีกลับสู่ประเทศไทยได้อย่างเสรีชนผู้ปราศจากมลทิน
4.คู่ขนานกันไป ก็ต้องเป็นเรื่องของการพัฒนาต่างๆ ทั้งทางด้านการเกษตร การทำมาค้าขาย และการบริการของภาครัฐเพื่อให้มีความทั่วถึงและครบถ้วน รวมไปถึงการพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างภาคใต้ของประเทศไทย กับภาคเหนือของมาเลเซีย ในเรื่องการสื่อสาร การขนส่ง สาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะระบบการผลิตและจ่ายไฟฟ้า เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของทั้ง 2 ฟากฝั่งของเขตแดนให้มีความทัดเทียมกันและสะดวกต่อการไปมาหาสู่
5. ฝ่ายรัฐบาลไทย แวดวงสื่อ และวิชาการ ต้องรณรงค์อย่างเข้มแข็งถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นรัฐเดียวของราชอาณาจักรไทยที่แบ่งแยกไม่ได้ คู่ขนานกับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองไทยทุกคนที่ไม่มีการแบ่งแยกและกีดกันและเปิดโอกาสให้ทุกคนมีบทบาททางการเมืองกันได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่พื้นที่เฉพาะหนึ่งใดของราชอาณาจักรไทยจะต้องมีความเป็นพิเศษ เป็นตัวของตัวเอง แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของราชอาณาจักรไทย เพราะทุกพื้นที่รวมทั้งผู้คนต่างมีความเสมอเหมือนและเสมอภาคกันอยู่แล้ว
ราชอาณาจักรไทยมิใช่รัฐศาสนานำพา ฉะนั้นศาสนาหนึ่งใดก็ไม่ควรเข้ามาเป็นระบอบการเมืองการปกครองแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนต้องมีความเข้าอกเข้าใจในเรื่องดังกล่าวนี้ว่า ทุกคนเป็นพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์และอย่างทัดเทียม ไม่มีผู้ใดถูกเลือกปฏิบัติที่จะต้องร้อนอกร้อนใจจนต้องทำการแบ่งแยกดินแดนให้เกิดความแตกแยก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี