คนไทยส่วนหนึ่งไม่รู้หรอกว่ารัฐบาลสร้างหนี้ไว้มหาศาลบานทะโร่ แล้วคนไทยจำนวนหนึ่งอีกเช่นกันที่ชอบของฟรี เพราะคิดว่าโลกนี้มีของฟรี ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง โลกนี้ไม่มีของฟรี เพราะทุกอย่างมีต้นทุน มีค่าใช้จ่าย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีคนบางกลุ่มเสียสติชอบรอรับของฟรี
สำหรับคนที่ชอบของฟรี แล้วคิดว่ารัฐบาลมีหน้าที่แจกของฟรี ขอให้กลับไปคิดเสียใหม่ว่า ของฟรีมีจริงๆ หรือ แล้วของที่รัฐบาลนำมาแจกให้นั้น มันต้องใช้ต้นทุนเท่าไร
รัฐบาลก่อหนี้สินไว้มากมายมหาศาลเพียงใด แล้วคิดบ้างไหมว่าคนใช้หนี้คือประชาชน อย่าคิดว่ารัฐบาลสร้างหนี้ไว้แล้ว รัฐบาลจะอยู่เพื่อชดใช้หนี้ เพราะรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อก่อหนี้ไว้แล้วก็ไม่เคยกลับมาชดใช้หนี้ แม้บางรัฐบาลอาจจะกลับมาบริหารประเทศต่อ แต่ก็ไม่เคยหยุดยั้งการก่อหนี้ เรียกได้ว่าหนี้เก่าก็บานเบอะ หนี้ใหม่ก็ก่อเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงจำไว้ว่า คนที่ต้องแบกรับภาระหนึ้ที่รัฐบาลก่อไว้คือประชาชน แม้คุณอาจจะตายไปแล้ว แต่ลูกหลานของคุณก็ต้องใช้หนี้ที่รัฐบาลก่อไว้
หากอยากรู้ว่าประเทศมีหนี้มีสินอะไรบ้าง จำนวนมากน้อยเท่าไร ขอให้ไปดูจากเว็บไซต์นี้ https://www.pdmo.go.th/th/public-debt/debt-outstanding แล้วจะเห็นตัวเลขหนี้สารพัดชนิดที่รัฐบาลก่อไว้ เช่น หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง หนี้รัฐวิสาหกิจ หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และหนี้ในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่ได้กล่าวถึงหนี้ที่ประชาชนบางกลุ่มพร้อมใจก่อขึ้น โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่นับวันจะเพิ่มขึ้นๆ และเพิ่มขึ้น เรื่องหนี้ภาคครัวเรือนนั้น คงเป็นที่รู้ซึ้งแก่ใจสำหรับคนที่มีหนี้สินท่วมหัวท่วมหู เรื่องหนี้นั้นนับเป็นทุกข์แสนสาหัสของผู้เป็นลูกหนี้ แต่ก็อาจจะไม่เป็นปัญหามากนักสำหรับคนที่ก่อหนี้แล้วคิดมาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ชดใช้หนี้ แต่ก็ต้องเตือนไว้ ณ ตรงนี้ว่า เป็นหนี้แล้วไม่ชดใช้นั้น นอกจากบาป และผิดกฎหมายแล้วยังอาจถึงแก่ชีวิตได้ หากเบี้ยวหนี้จากเจ้าหนี้บางราย
สำหรับหนี้ของรัฐบาลนั้น ขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า เมื่อสิ้นปี 2565 มีหนี้สินดังนี้
หนี้รัฐบาล 9.302,526.11 ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจ 1,021,841.59 ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (ที่รัฐบาลค้ำประกัน) 226,670.78 ล้านบาท
หนี้หน่วยงานของรัฐ 36,274.53 ล้านบาท
เห็นตัวเลขหนี้สินของรัฐบาลแล้วใช่ไหม คราวนี้รู้หรือยังว่า การที่เข้าใจว่ารัฐบาลแจกของฟรีนั้น ทุกอย่างล้วนมีต้นทุนคือ หนี้สินทั้งสิ้น ขอบอกตรงๆ ว่าหนี้ที่เห็นข้างบน
นั้นยังไม่หมด เพราะยังมีหนี้อื่นๆ อีก เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ตอบได้ไหมว่า ใครจะชดใช้หนี้ หากไม่ใช่ประชาชนทั้งประเทศ
ที่นี้จะชวนคุณคุยต่อถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆ ที่คุณได้รับจากรัฐบาล โดยเฉพาะพวกที่น่าจะถูกจัดไว้ในจำพวกงอมืองอเท้า ที่ชอบคิดว่ารัฐบาลรวย สามารถหว่านเงิน หว่านสวัสดิการแจกได้ไม่อั้น เรื่องหนึ่งที่ขอชวนคุยในวันนี้คือ สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล
เมื่อสองวันมานี้ มีข่าวจากคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยกำลังโตแซงหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จนอาจเสี่ยงต่อสภาพการเกิดปัญหารัฐบาลไม่มีเงินจ่ายเพื่อการดูแลด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน
ทุกวันนี้คนไทยมีอายุยืนยาวมากขึ้นกว่าอดีต แต่ปัญหาคือในช่วงสุดท้าย โดยเฉพาะช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิตพบว่าเป็นช่วงที่คนจำนวนไม่น้อยต้องทนทุกข์ทรมานมากและเป็นช่วงที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เพราะฉะนั้น ต้องคิดหาทางให้คนไทยมีอายุยืนยาวพร้อมๆ ไปกับการให้มีสุขภาพที่ดีด้วย
คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน ประชากรไทยมากกว่าร้อยละ 99 ได้รับการดูแลจากภาครัฐเป็นอย่างดี โดยอยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลจากระบบประกันสุขภาพ ทั้งในรูปแบบพระราชบัญญัติสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการ ประมาณ ร้อยละ 8 จากประกันสังคม ร้อยละ 17 จากระบบหลักระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ร้อยละ 73นับได้ว่าคนไทยมีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลดี แต่สำหรับคนบางคนอาจประสบปัญหาล้มละลายได้ หากเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่เก็บค่าบริการสูงเกินจริงมากๆ
มีปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจคือ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอนามัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล โดยพิจารณาจากตัวเลขในปัจจุบัน พบว่ามี
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 5 ของ GDP โดยตั้งเป้าไว้ไม่ให้เกิน ร้อยละ 5 แต่เมื่อพิจารณาจากรายจ่ายของรัฐบาล ที่ต้องใช้เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน ตกประมาณ ร้อยละ 16-18 ของ GDP ทั้งนี้รัฐบาลตั้งเป้าไว้ไม่ให้เกิน ร้อยละ 20
มีข้อสังเกตว่า ในเรื่องนี้มีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ตัวเลขจากปี 2558 พบว่าการใช้สิทธิบัตรทองมีผู้มีสิทธิ์ 48 ล้านคน ใช้เงินไป 1.14 แสนล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่มีจำนวนผู้มีสิทธิ์น้อยกว่าประมาณ 10 เท่า แต่กลับใช้งบประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณางบฯ ที่ใช้แล้วต่างกัน ร้อยละ 50 แต่จำนวนผู้ใช้บริการแตกต่างกันเป็น 10 เท่า จึงมีข้อสังเกตว่ากลุ่มข้าราชการใช้เงินเพื่อการนี้สูงมากจนน่าสงสัย นี่คือการบ่งบอกถึงความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนมาก และต้องมีการแก้ไขประเด็นนี้โดยเร็ว ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงประเด็นความซ้ำซ้อนกันของโครงการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลจัดให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ย้ำว่าจำเป็นต้องปรับการใช้งบฯ เหล่านี้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะไม่ได้บอกตรงๆ ว่ารัฐบาลไม่มีเงินเพื่อการดูแลรักษาพยาบาลประชาชน แต่ก็สามารถวิเคราะห์คำพูดได้ว่าการใช้เงินเพื่อการนี้ของรัฐบาลจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดยไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำอีกต่อไป
ลองคิดง่ายๆ ว่า หากคุณต้องไปรับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของรัฐบาล คุณต้องจ่ายเงินหรือไม่ และหากต้องจ่ายเพิ่ม คุณจ่ายจำนวนเท่าไร แต่หากคุณไปรับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเอกชน คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าจ่ายในสถานพยาบาลของรัฐบาลกี่ร้อยหรือกี่พันเท่า
แน่นอนว่าการไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน คุณจะได้รับความสะดวกมากกว่า ได้รับบริการที่รวดเร็วมากกว่า แต่ก็ต้องจ่ายเงินค่าบริการมากกว่ากี่ร้อยกี่พันเท่าเมื่อเทียบกันโรงพยาบาลของรัฐ ดังนั้นจึงพบว่าคนบางจำพวกแม้จะมีเงินพอที่จะพาตัวเข้าไปรับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเอกชน แต่ก็กลับเลือกไปใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐบาล ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องไปรับการรักษา เนื่องจากสามารถดูแลตัวเองได้ หรืออาจไปหาซื้อยาจากร้านค้ายาที่มีเภสัชกรปฏิบัติงานแล้วนำยาไปรับประทานเองได้ แต่เราจะพบว่าคนมีฐานะดีจำนวนไม่น้อย เลือกเข้าไปรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะเห็นว่าประหยัดกว่าการไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน แต่นั่นก็หมายความว่า เป็นการใช้เงินงบประมาณของแผ่นดินทั้งๆ ที่ตนเองสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนเงินของรัฐบาล แล้วน่าจะช่วยให้รัฐบาลมีเงินเหลือเพื่อใช้สำหรับดูแลรักษาคนจนที่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคร้ายแรงเพื่อให้มีชีวิตรอดได้มากกว่า
ที่นำเรื่องนี้มาชวนคุยในวันนี้ก็เพื่อจะบอกว่ารัฐบาลมีภาระต้องจ่ายเงินเพื่อดูแลประชาชนในแง่มุมต่างๆ มากมายมหาศาล ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องสำเหนียกด้วยว่าสิ่งใดจำเป็นต้องจ่ายเพื่อดูแลประชาชน ไม่ใช่จ่ายแบบหว่านแหไปเรื่อย เพราะสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะก่อหนี้บานเบอะ ไร้ปัญญาใช้หนี้ ส่วนประชาชนก็ต้องสำเหนียกด้วยว่า อะไรที่ไม่จำเป็นต้องแย่งใช้เงินงบประมาณของรัฐ เพราะประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญญาดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ควรแย่งงบประมาณจากคนจนไปใช้บำรุงบำเรอตนเอง หากทุกคนทุกฝ่ายมีความคิดเช่นนี้แล้ว ก็จะช่วยลดภาระการสร้างหนี้สินโดยรัฐบาลได้ แล้วที่สำคัญคือ ยังเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กันและกันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
และจำไว้ว่าหนี้สินที่รัฐบาลก่อไว้ สะสมไว้ก็หมายถึงหนี้สินของประชาชนทุกคนที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ แม้คุณจะตายไปแล้ว แต่ลูกหลานของคุณก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินต่อไป
เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้รัฐบาลสร้างหนี้สินจนเกินความจำเป็น เพราะภาระหนักจะตกกับประชาชนทุกคนในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี