ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้น ประชาชนทั่วทั้งโลกรวมทั้งในประเทศไทยด้วย ได้ตกอยู่ในสภาพของความหวั่นวิตกกังวลจากภัยคุกคามที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เริ่มต้นจากการที่มีผู้ติดเชื้อรายแรกในมณฑลอู่ฮั่นประเทศจีน และหลังจากนั้นก็มีการระบาดอย่างรวดเร็วไปในทุกทวีปและทุกประเทศในโลกใบนี้ จนถือได้ว่าเป็นโรคระบาดใหญ่ร้ายแรงที่คุกคามชีวิตของผู้คนไปอย่างมากมาย โดยมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมากกว่า 680ล้านราย และเสียชีวิตไปมากกว่า 6.7 ล้านราย หรือประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นมีผู้ที่ติดเชื้อและมีอาการที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่างๆ มากกว่า 4.7 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตไปรวมทั้งสิ้นมากกว่า 33,000 รายเล็กน้อย
เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์แรกที่ทำให้เกิดการระบาดได้รับการเรียกชื่อว่าสายพันธุ์อู่ฮั่น ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยข่าวที่ออกมาระยะแรก ระบุว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไวรัสที่อาศัยอยู่ในค้างคาวและมีการกลายพันธุ์จนติดมายังคนได้ และหลายกระแสก็มีการพูดว่าเป็นเชื้อไวรัสซึ่งถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งพัฒนาขึ้นมา โดยจะหวังผลอย่างไรก็ไม่แน่ชัด ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นความลับอย่างนี้ไปตลอด
หลังจากการระบาดที่เริ่มต้นในประเทศจีน เชื้อสายพันธุ์อู่ฮั่นก็แพร่กระจายไปยังทุกทวีปดังที่กล่าวมาแล้ว และต่อมาไม่นานนักก็เริ่มมีการกลายพันธุ์เป็นเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ อาทิ สายพันธุ์เดลต้า สายพันธุ์เบต้า สายพันธุ์แกมม่า และในที่สุดก็เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็มีความรุนแรงในระยะเริ่มต้นไม่ต่างกันมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มมีการพัฒนาวัคซีนและได้ใช้วัคซีนเพื่อจะสร้างภูมิต้านทานให้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านอาการรุนแรงที่เกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อตามลำดับ ก็พบว่าความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นในเกือบจะทุกสายพันธุ์เริ่มลดน้อยลง ซึ่งรวมทั้งสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งยังเป็นสายพันธุ์ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเป็นหลักอยู่ในขณะนี้ จนน่าจะถึงระยะเวลาที่บอกได้แล้วว่า game over หรือแปลเป็นไทยว่าโรคนี้ จบลงไปแล้ว ตามคำพูดของศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ที่เป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคไวรัสผู้หนึ่งที่ได้มีบทบาทในเรื่องของการศึกษา ค้นคว้า วิจัยและการรักษาตลอดจนการป้องกันโรคนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ข้อมูลล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อและมีอาการ รวมทั้งจำนวนผู้ที่เสียชีวิตล่าสุดก่อนที่จะมีการเขียนบทความนี้ คือข้อมูลรายงานระหว่างวันที่ 12-18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลทั่วประเทศทั้งหมดมี รวมทั้งสิ้น 203 ราย หรือประมาณ 29 รายต่อวัน มีผู้เสียชีวิตจำนวนรวม 8 ราย หรือเฉลี่ย 1 รายต่อวัน ซึ่งถือว่าน้อยมากและเป็นตัวเลขที่สามารถเทียบเคียงกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ
จะขออนุญาตนำคำโพสต์ข้อความผ่าน Facebook เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาของศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ซึ่งอาจารย์ได้ใช้คำว่า game over ของโรคโควิด-19ไว้ ดังนี้
ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ในอดีตจะเห็นได้ว่าความจริงต่างๆ ได้เริ่มปรากฏชัดขึ้น
1.วิวัฒนาการของไวรัสเป็นไปเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นไวรัสจะปรับตัวเพื่อลดความรุนแรงลงให้อยู่ร่วมกับเจ้าบ้านได้ ความรุนแรงของโควิด-19 จึงลดลงมาโดยตลอดจากอัตราตายสูง 3-5 เปอร์เซ็นต์ จนขณะนี้เหลือน่าจะน้อยกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
2.โรคที่มีความรุนแรงสูง เช่น Ebola,Marburg, Lassa โอกาสที่จะระบาดไปทั่วโลกเป็นไปได้ยาก ตรงข้ามกับโรคที่มีความรุนแรงต่ำเช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 สามารถระบาดไปทั่วโลกได้
3.วัคซีนแต่ละชนิดไม่แตกต่างกัน มีการเรียกร้องวัคซีน mRNA ที่กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูงและมีผลการทดลองเป็นเพียงระยะสั้น ประสิทธิผลในระยะสั้นเท่านั้น เมื่อติดตามในระยะยาวแล้วภูมิต้านทานลดลงเร็วและไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ถ้าดูอัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศและวัคซีนที่ฉีดก็จะเห็นได้ชัด เมื่อประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้วอัตราการเสียชีวิตในประเทศที่ฉีด mRNA ล้วน ก็ไม่ได้ต่ำกว่าประเทศที่ไม่ได้ฉีด ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่มีวัคซีนเทพ วัคซีนขณะนี้หลายบริษัทได้ลดการผลิตหรือเลิกการผลิต
4.การระบาดของโรคที่สงบลงขณะนี้ เพราะประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้ว โดยแต่ละประเทศเชื่อว่าติดเชื้อไปแล้วมากกว่าร้อยละ 70 จึงทำให้การระบาดของโรคทุเลาลง
5.ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อร่วมกับการฉีดวัคซีนจะเป็นภูมิต้านทานที่ค่อนข้างสมบูรณ์และอยู่นาน เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนอย่างเดียว
6.ทิศทางการระบาดเมื่อโรคเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล ฤดูกาลในการระบาดจะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจทั่วไป
7.ความจำเป็นของวัคซีนในอนาคตจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ จะมุ่งเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรง ในคนที่แข็งแรงดีและเคยติดเชื้อมาแล้วถึงแม้จะติดเชื้อซ้ำอีกอาการก็จะไม่รุนแรง
8.การแก้ปัญหาโรคระบาด ถ้าย้อนเวลาได้เราควรใช้องค์ความรู้นำสร้างองค์ความรู้ มากกว่าที่จะไปตามกระแสหรือแรงกดดันจากสื่อสังคม
9.ในปีนี้จะต้องถือว่า game over เชื่อว่าองค์การอนามัยโลกคงจะเลิกนับตัวเลข เพราะตัวเลขที่รายงานขององค์การอนามัยโลกและของทุกประเทศ การติดเชื้อต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และทุกอย่างจะอยู่ในขั้นตอนการเฝ้าระวังและการระบาดเป็นไปตามฤดูกาล
10.สำหรับประเทศไทยตามที่ได้เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ปลายปีว่า ตั้งแต่กุมภาพันธ์เป็นต้นไปโรคก็จะสงบ และจะไปพบเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน แล้วหลังจากนั้นก็สงบเป็นวงจรระบาดตามฤดูกาล
ทั้ง 10 ข้อนั้นคือบทสรุปเกี่ยวกับโรคโควิดในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งนับว่าเป็นข้อสรุป ที่เป็นประโยชน์ยิ่ง
อาจจะมีคำถามตามมาว่าเมื่อโควิด-19 จบลงไปแล้ว การฉีดวัคซีนยังจำเป็นจะต้องมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ก็ขอตอบได้เลยว่าโรคนี้ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ลดความรุนแรงลงไปและการระบาดจะเกิดขึ้นตามฤดูกาล สำหรับผู้ที่เป็นประชาชนกลุ่มเสี่ยงหรือที่รู้จักกันดีว่ากลุ่ม 608 นั้น การฉีดวัคซีนเป็น Booster dose ทุกระยะ 6 เดือน ยังถือเป็นข้อที่ควรปฏิบัติ และอาจจะรวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหลายด้วย ส่วนในกลุ่มประชาชนทั่วไปนั้น หากเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี อาจจะรับการฉีดวัคซีนปีละ 1 โดส ยกเว้นในช่วงที่มีการระบาดเพิ่มเติม ก็อาจจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน ซึ่งรวมทั้งในกลุ่มอื่นๆ ด้วย
ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยนั้น เมื่อโรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำฤดูกาล การสวมหน้ากากอนามัยก็สามารถจะผ่อนคลายลงได้ แต่หากต้องไปอยู่ในกลุ่มคนจำนวนมากการสวมหน้ากากอนามัยก็ยังคงเป็นประโยชน์อยู่ แต่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือคนที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ควรจะต้องสวมหน้ากากอนามัยเสมอเมื่ออยู่ใกล้ผู้คนอื่นหรือในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังคนอื่น
โรคโควิด-19 ที่จะทำให้เกิดการระบาดใหญ่คงจบลงแล้วอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่กำลังจะเริ่มต้นในประเทศไทย และจะเป็นกระแสที่มาแรงมาก คือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งใหม่ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะเห็นว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรค ก็เริ่มดำเนินการหาเสียงกันอย่างเต็มที่ โดยการประกาศนโยบายที่คิดว่าจะเป็นจุดขายได้ ซึ่งบางนโยบายที่ประกาศออกมานั้น หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงได้แต่หวังว่าประชาชนส่วนใหญ่ จะได้ใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อ และควรจะเลือกพรรคการเมืองใดให้เข้ามาเป็นหลักในการบริหารประเทศชาติต่อไป โดยหวังให้เป็นรัฐบาลที่สุจริตและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ตัดเรื่องที่เป็นประโยชน์ส่วนตนหรือของพรรคพวกออกให้หมด ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี