หลังจบประชุมครม.อันยาวนานที่สุดวันหนึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็ถึงเวลานับถอยหลังสู่วันสุดท้ายของวาระรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อย่างเต็มรูปแบบ เหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น วาระของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์กำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าไม่วันพรุ่งนี้ก็อย่างช้าวันจันทร์ที่จะถึงนี้จะมีการประกาศยุบสภา เพื่อเตรียมสู่โหมดการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ตัดสินว่าพลเอกประยุทธ์จะสามารถได้ไปต่อในรัฐบาลชุดหน้าหรือไม่?
หรือตำแหน่งผู้นำรัฐบาลจะถูกเปลี่ยนมือจากพลเอกประยุทธ์สู่มือของใคร?
แต่อีกหนึ่งสิ่งที่บรรดาพรรคการเมือง รวมถึงตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. บางเขตบางคนยังรอลุ้น คือเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งที่หลายฝ่ายต่างกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะการแบ่งเขตเลือกตั้งย่อมส่งผลถึงการจัดกระบวนทัพรับศึกเลือกตั้งอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้บางจังหวัดเขตเพิ่มและบางจังหวัดเขตลด จึงไม่แปลกที่พรรคการเมืองต่างๆ จะอยากได้ความชัดเจน เพราะเมื่อกลยุทธ์ในการจัดกระบวนทัพถูกจัดวางสำเร็จ แต่ละพรรคการเมืองจึงจะสามารถเดินหน้าไปสู่การเตรียมความพร้อมขั้นถัดไปได้ รวมถึงการเคาะผู้สมัครรอบสุดท้าย ที่แน่นอนตลาดสส.ยังคงเดินได้ถึงประกาศเขต
อันที่จริงกรอบเวลาเดิมที่เคยได้วางตั้งไว้ว่า การระบุเขตเลือกตั้ง จะต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นั้น เป็นอันต้องเลื่อนไป จากกรณีที่มีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความนิยามคำว่า ราษฎร ว่านับรวมผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือไม่?
ก็น่าสนใจไม่น้อยที่บทสรุปที่ได้ออกมาระบุว่า ราษฎรหมายถึงบุคคลที่มีสัญชาติไทยเพียงเท่านั้น ซึ่งก็แตกต่างออกไปจากที่ทาง กกต. ได้ตีความเอาไว้ ส่งผลให้การแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น ต้องถูกจัดการแบ่งสันปันส่วนใหม่ ภายใต้แนวทางที่ออกมา ซึ่งคาดว่าจะส่งเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาได้ภายในวันสองวันนี้
แต่อย่างไรก็ตามแม้การแบ่งเขตดูเหมือนจะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้มากนัก ในตอนนี้เองก็มีพรรคการเมืองส่วนหนึ่งที่แสดงท่าทีกังวลต่อการแบ่งเขตของทาง กกต. อย่างในรายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่มีความเห็นว่า บางรูปแบบการแบ่งเขตในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ทางกกต. ได้มีการกำหนดเอาไว้นั้น ก็ดูจะยังคงเป็นปัญหา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่? จากการที่รวมตำบลเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งขัดกับบทบัญญัติที่ได้ตราเอาไว้ว่า ให้รวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง จึงไม่สามารถรวมตำบลมาเป็นเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?
ซึ่งในเรื่องดังกล่าวก็ถูกตั้งข้อสงสัยจากพรรคการเมืองบางพรรคอยู่บ้าง ว่าการแบ่งเขตการเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบระหว่างพรรค ในสังเวียนการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่?
และหาก กกต. มีการจัดวางเขตการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายเลือกตั้งตามที่ได้มีการแสดงความกังวลไว้ จะส่งผลอะไรตามมาอีกหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตามแม้รูปแบบการแบ่งเขตจากทาง กกต. จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นกิจจะลักษณะออกมา บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ จึงยังไม่อาจวางแผนได้ละเอียดมากนัก แต่พรรคการเมืองอาจต้องเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้ประชาชน รวมถึงตลาดสส.เชื่อว่าพรรคตนเองจะได้กลับมาเป็นรัฐบาล
อย่างในเรื่องของวง 3 ป. ที่ในตอนนี้ดูจะยังคลุมเครือในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็ก ว่าจะยังรักและสามัคคีกันดุจญาติพี่น้องร่วมสายเลือดเช่นเดิมหรือไม่? เพราะในตอนนี้ก็ยังมีผู้ที่สงสัยถึงการแยกทัพระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็กว่า แท้จริงแล้วต้นสายปลายเหตุนั้นเกิดมาจากเรื่องใดกันแน่?
บ้างก็ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็กเป็นไปในทิศทางเชิงบวกไร้ข้อขัดแย้งกันภายในพรรค และท้ายที่สุดเมื่อเสร็จศึกก็อาจหวนกลับมาจับมือกัน และการแยกกันเดินของทั้งสองฝ่าย เป็นเพียงแค่หนึ่งในกลยุทธ์ในการออกศึกเพียงเท่านั้นหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตามก็มีนักวิเคราะห์อีกไม่น้อยที่ลงความเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรนั้น ดูจะไม่สนิทสนมเช่นเคย ทั้งจากคำสัมภาษณ์ของพลเอกประวิตรที่พูดในเชิงว่าระหว่างตนและพลเอกประยุทธ์นั้นไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด แต่เรื่องการเมืองนั้นต้องแยกกัน พร้อมทั้งพูดในทำนองว่า ในช่วงหลังมานี้บทสนทนาระหว่างตนเองกับพลเอกประยุทธ์ไม่ได้อยู่ในหัวข้อเรื่องของการเมืองสักเท่าไหร่นัก โดยส่วนใหญ่มักจะคุยกันในเรื่องอื่น
ประกอบกับในระยะหลังมานี้ข่าวการพบเจอของพี่น้องทั้งสอง ดูจะไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยตามหน้าสื่อเหมือนเช่นเคย อย่างภาพที่ทั้งสองต่างหยอกล้อกันที่เคยปรากฏให้เห็นตามหน้าสื่อ แต่กลับไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในหน้าสื่อมาสักพักใหญ่ๆ แล้วหรือไม่?
ซึ่งในเรื่องนี้พลเอกประวิตรก็ได้ให้คำตอบกับสื่อมวลชนว่า เมื่อก่อนทำอาหารก็ส่งไปให้ แต่ตอนนี้ไม่ส่งแล้ว กลัวเขาไม่กิน จึงไม่แปลกที่จะมีบางฝ่ายคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้น แม้ความสัมพันธ์จะไม่ขาดสะบั้น แต่มันก็ดูจะไม่มีอะไรที่เหมือนเก่า ไม่ใช่พี่น้องที่จะสามารถคุยกันได้ทุกเรื่องได้อีกต่อไปหรือไม่?
ว่ากันตามตรง ยังน้อยกว่าข่าวการจับมือระหว่างพลังประชารัฐกับเพื่อไทยอีก?
และหากต้องการพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ของทั้งพลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์อยู่ในรูปแบบใดนั้น หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญ อาจเป็นเมื่อ กกต. ได้มีการแบ่งเขตแล้วเสร็จก็เป็นได้หรือไม่? เพราะเมื่อทันทีที่การแบ่งเขตได้เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ เราอาจได้เห็นการวางตัวผู้สมัครที่ชัดเจนจากพรรคการเมืองต่างๆ มากขึ้น
รวมถึงเราอาจได้เห็นการวางทัพของทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่ามีการหลีกทางผู้สมัครเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายมากน้อยเพียงใด? หรือในความจริงแล้วทั้งสองฝ่ายอาจเปิดหน้าเข้าชนกันก็เป็นได้หรือไม่?
แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอยู่ในรูปแบบใด แต่ด้วยการที่ทั้งสองนั้น เป็นพี่น้องที่รักและสนิทสนมกันมาอย่างยาวนาน หลายคนก็ยังเชื่อว่าหลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้น อย่างไรเสีย ในอนาคตก็ยังไม่สามารถตัดโอกาสที่จะจับมือกันตั้งรัฐบาลไปได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตามน่าสนใจว่า สถานการณ์ของทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นอย่างไรต่อกันแน่ เพราะก็ต้องเรียนตามตรงว่าการที่พรรคพลังประชารัฐ ที่เมื่อก่อนถูกมองว่าเป็นพรรคของ 3 ป. กลับมีการแตกทัพออกมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเข้าคูหาลงคะแนนมากน้อยเพียงใด เพราะอย่าลืมว่าหนึ่งคนมีเพียงหนึ่งเสียง แม้จะบอกว่าตอนนี้มีบัตรเลือกตั้งสองใบก็ตาม ก็ยากที่จะมองว่าประชาชนจากฐานเดียวจะแบ่งคะแนนให้สองพรรค
ในขณะที่รวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคพลังประชารัฐกลับมีข่าวว่ามีแนวโน้มอาจจับมือเพื่อไทยหลังเลือกตั้งหรือไม่?
เพราะพรรคเพื่อไทยเองตอนนี้แม้จะมีการชูบุคคลสำคัญมากมายแต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแคนดิเดต
นายกฯ
พรรคเพื่อไทยที่แม้จะเดินหน้าหาเสียงอย่างหนัก แต่ความชัดเจนดังกล่าว ก็ดูจะยังไม่กระจ่างมากนัก ทั้งเรื่องแคนดิเดตนายก ที่ก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ใครจะเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคกันแน่?เพราะเมื่อไม่นานมานี้หมอชลน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเองก็ได้ออกมาเผยว่า พรรคเพื่อไทยจะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้นถึง 3 รายชื่อ
ซึ่งหนึ่งในรายชื่อที่คาดว่าน่าจะติดโผแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย คงหนีไม่พ้น แพทองธาร ชินวัตร ที่ออกแรง ออกงานด้วยตนเองมาหลายพื้นที่ หลายภาคส่วนของประเทศ และอีกชื่อหนึ่งที่น่าจะติดตามๆ กันไปก็อาจเป็นรายนามของ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ในระยะหลังเองก็เริ่มที่จะมีบทบาทตามหน้าสื่อในฐานะตัวแทนของพรรคเพื่อไทยมากขึ้นตีคู่มากับ แพทองธาร ตามมาติดๆ
ยิ่งการที่พรรคเพื่อไทยได้มีการแถลงแต่งตั้งนายเศรษฐาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยด้วยแล้ว ก็อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณ ที่บ่งบอกว่านายเศรษฐา อาจถูกวางตัวให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นได้หรือไม่?
ส่วนอีกหนึ่งรายชื่อจะเป็นใครนั้น คงต้องรอดูกันต่อไป ว่าจะเป็นหมอชลน่านเองหรือบุคคลอื่นที่จะมาเซอร์ไพรส์อีกและแม้จะดูเหมือนมีการวางตัวขุนพลไปเรียบร้อยแล้วแต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาออกศึก ทุกอย่างยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอหรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการทุกอย่างยังคงเปิดกว้างในทุกมิติ ทั้งในแง่ของการวางตัวแคนดิเดต การกำหนดตัวผู้สมัคร รวมถึงโอกาสในการย้ายบ้านของบรรดา สส. สวนทางกับกรอบเวลาที่งวดเข้ามาในทุกขณะ
อย่างไรก็ตาม ด้วยกรอบระยะเวลาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่เหลืออีกเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็ยิ่งทำให้ สส.ที่ในตอนนี้กำลังคิดและทบทวนว่าจะอยู่ที่ใดกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เล็กเบอร์ใหญ่ วันนี้พรุ่งนี้น่าจะรู้แล้ว?
เฉกเช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย ที่น่าจะส่งผลต่อคะแนนนิยมและการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งในแง่ของคะแนนเสียงและความนิยม ดังเช่นที่พรรคภูมิใจไทยกำลังถูกนายชูวิทย์ฟาดใส่แบบไม่ยั้งมือ แต่จะรู้ได้อย่างไรกันเล่าว่าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคสุดท้ายที่ถูกฟาดใส่เช่นนี้?
เพราะอย่าลืมว่าสิ่งสำคัญของบรรดาพรรคการเมืองหรือนักการเมือง ส่วนหนึ่งก็คือความคาดหวังในการที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล อะไรที่จะนำไปสู่สิ่งนั้นได้ย่อมมีโอกาสเกิดและเปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้บนเวทีการเมือง
“บางครั้ง ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ยังคับแค้นทรมานกว่าความตาย
ไม่เช่นนั้น ในโลกไหนเลยมีคนเสียชีวิต เพราะความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว”
โกวเล้ง จาก ซาเสียวเอี้ย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี