การบัญญัติระบบการปกครองนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเพื่อให้สมประโยชน์กับความต้องการทางการเมืองชักจะไปกันใหญ่ จนทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของบ้านเมืองเรานี้เป็นที่สงสัยของประชาชนมากขึ้นทุกวัน
เพราะประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรต้องถือตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปฏิบัติทั้งปวง เว้นแต่ข้อความอันเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นไม่ชัดเจนก็ต้องตีความตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปที่ประเทศไหนๆ เขาก็ปฏิบัติกันอย่างนี้
ทว่าในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้กลับมีการตั้งข้อปฏิบัติเพิ่มเติมจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ และไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติมากขึ้นทุกวันจนผู้คนพากันงุนงงสงสัย ทั้งที่ความจริงก็ไม่ควรจะสงสัยเพราะปัญหาเรื่องนี้มีแสดงไว้ชัดเจนแล้วในบทพระราชปรารภแห่งรัฐธรรมนูญ 2560
ว่าเหตุแห่งวิกฤตอย่างหนึ่งของบ้านเมืองก็คือการบิดเบือนการใช้อำนาจ ซึ่งการบิดเบือนการใช้อำนาจนี้ก็เป็นเรื่องของคนมีอำนาจนั่นแหละที่จะบิดเบือนได้ชาวบ้านอย่างเราท่านทั้งหลายไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสและไม่มีทางที่จะบิดเบือนกฎหมายใดๆ ได้เลย
รัฐธรรมนูญบัญญัติถึงวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไว้ไม่เกิน 8 ปี และมีเหตุผลตลอดจนการอธิบายความหมายดังกล่าวไว้โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชัดเจนแล้ว มิได้มีปัญหาใดๆที่จะต้องตีความ แต่ก็มีการตีความเอาจนได้ จนทำให้เวลาการดำรงตำแหน่งที่เกิน 8 ปีนั้นไม่ครบ 8 ปี และเป็นรากฐานให้เกิดปัญหาดังที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าเมื่อวาระของสภาสิ้นสุดลง ก็ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ย่อมหมายถึงนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่ประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่รักษาการคณะรัฐมนตรีต่อไป
แต่ก็มีการกำหนดรัฐธรรมนูญขึ้นเองตามใจชอบว่าสำหรับนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องเรียกว่านายกรัฐมนตรีเฉยๆ ห้ามไม่ให้ใช้คำว่ารักษาการ ส่วนรัฐมนตรีอื่นซึ่งน่าจะรวมถึงรองนายกรัฐมนตรีด้วยต้องเรียกว่ารัฐมนตรีรักษาการ
รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านทางคณะรัฐมนตรีก็มีการไปบัญญัติเอาตามใจชอบว่าสำหรับกรณียุบสภานั้นเป็นกรณีพิเศษ เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดบัญญัติไว้ นี่ก็เป็นการบัญญัติเพิ่มเติมตามอำเภอใจ
พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านคณะรัฐมนตรีในสองลักษณะ
ลักษณะแรก คือการใช้อำนาจที่มีผลเป็นกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ต้องกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมาย หมายความว่าจะตราพระราชกฤษฎีกาได้ก็ต้องมีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายให้อำนาจไว้
เช่น การยุบสภาต้องกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจผ่านทางคณะรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 175 และต้องแสดงเหตุตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 จะยุบสภาตามอำเภอใจหรือโดยไร้เหตุผลไม่ได้ ยิ่งเป็นเหตุผลเพื่อประโยชน์ตนในการขยายเวลาสังกัดพรรคการเมือง หรือขยายเวลาการเลือกตั้งที่ กกต. ได้กำหนดไว้ก่อนนั้นไม่ได้
ลักษณะที่สอง คือการใช้อำนาจที่มีผลเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น กฎหมายว่าด้วยระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม กฎหมายว่าด้วยการงบประมาณ เป็นต้น ซึ่งบทกฎหมายเหล่านี้จะระบุว่าเรื่องใดเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี เรื่องใดเป็นอำนาจของรัฐมนตรี เมื่อได้ใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วก็มีผลเป็นการใช้อำนาจบริหารโดยคณะรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
การรับสนองพระบรมราชโองการนั้นไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล หรือองค์กรอิสระ แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าบรรดากฎหมายพระราชหัตถเลขา จะต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องเกี่ยวกับการรับสนองพระบรมราชโองการ
พึงตั้งข้อสังเกตว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติว่าต้องมีรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ รัฐมนตรีดังกล่าวนี้มีความหมายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติทั่วไป คือ หมายถึงนายกรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
การใดที่ไม่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ การนั้นก็มีได้ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้บัญญัติไว้ ซึ่งถือว่าเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ และเป็นกรณีที่ทรงใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง
ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายในปัจจุบันนี้จึงมีแบบอย่างที่พระมหากษัตริย์ทรงมีและทรงใช้พระราชอำนาจได้โดยตรง ซึ่งอาจสรุปได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนในห้าทางคือ โดยทางรัฐสภา โดยทางคณะรัฐมนตรี โดยทางศาล โดยทางองค์กรอิสระ และโดยการใช้พระราชอำนาจโดยตรง
ดังนั้นถ้ามีความคิดเห็นใดที่จะถวายคืนพระราชอำนาจก็ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากมากเรื่อง ก็แค่กำหนดกิจการนั้น และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นพระราชอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงใช้พระราชอำนาจได้โดยไม่ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หรืออาจกำหนดเป็นขั้นตอน โดยในระยะแรกยังคงมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้นคือประธานองคมนตรีสำหรับกรณีทั่วไป หรือผู้บัญชาการกองทัพไทยในกรณีเกี่ยวด้วยการทหาร เป็นต้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี