นายพล ฮุน มาเนต นั้นเป็นบุตรชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จฮุนเซน ผู้นำและนายกรัฐมนตรีตลอดกาลของราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งกำลังถูกวางตัว และประคบประหงมให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในอนาคต โดยอย่างเร็วก็ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นี้ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปแบบพรรคเดียวเข้าสู่สนามการแข่งขัน หรืออย่างช้าก็ไม่น่าจะเกินกลางปี 2567 ภายหลังการจัดตั้งวุฒิสภา โดยไม่มีคู่แข่งใดๆ
เส้นทางการขึ้นสู่อำนาจหน้าที่ของ นายพล ฮุน มาเนตดูราบรื่น โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งต่างไปจากเส้นทางของสมเด็จฮุนเซน ผู้บิดา ที่ต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธปืนกลตั้งแต่อายุเพียงแค่ 15-16 ปี และผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนรวมทั้งต้องฝ่าฟันสนามการเมืองอย่างหนักหน่วง จนสามารถขจัดคู่ต่อสู้ทางการเมืองทั้งภายในกลุ่มเขมรแดง กลุ่มเจ้า กลุ่มชาตินิยม และกลุ่มเสรีนิยมต่างๆ ไปได้อย่างหมดสิ้น ก่อนจะขึ้นเป็นผู้นำซึ่งทรงอำนาจอย่างมั่นคง และน่าเกรงขามมาได้เป็นเวลาหลายสิบปีอย่างไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชา หรือในหมู่ประเทศกำลังพัฒนาหนึ่งใด จัดได้ว่าเป็นเซียนการเมืองระดับชั้นนำของโลก
และการนี้ สมเด็จฮุนเซน จึงอยู่ในฐานะที่จะสถาปนาบุตรชายของตนเองให้ขึ้นสืบทอดอำนาจได้อย่างมั่นคง ไม่เป็นที่สงสัย หรือคลางแคลงใจจากฝ่ายใด ซึ่งเท่ากับว่าสมเด็จฮุนเซนได้สร้างโครงสร้างและฐานอำนาจไว้ให้กับตระกูลและบุตรชายของตนเอง โดยปราศจากการคุกคามหรือภยันตรายอย่างใดหรือนัยหนึ่งพูดตามภาษาชาวบ้านว่า ผู้บิดาได้เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้กับบุตรชายไว้หมดแล้ว ก็ขึ้นอยู่ว่า ในอนาคตอันต่อไปนี้ นายพล ฮุน มาเนต จะสามารถรักษาพลังอำนาจไว้ได้แค่ไหน ซึ่งจะส่งผลต่อการนำพากัมพูชาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้แค่ไหน อย่างไร
นายพล ฮุน มาเนต นั้น สำเร็จการศึกษาทางวิชาทหารที่โรงเรียนทหารเวสปอยท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ไปศึกษาต่อและรับการฝึกอบรมทางวิชาทหารที่ประเทศอังกฤษด้วย จึงมีองค์ความรู้ทางด้านการทหารที่ไม่เป็นรองใครอีกทั้งก็มีประสบการณ์การสู้รบพอสมควรในการนำทัพปะทะกับฝ่ายไทยในช่วงข้อพิพาทดินแดนและกรณีขัดแย้งพื้นที่รอบๆ ปราสาทเขาพระวิหาร
นอกจากนั้น นายพล ฮุน มาเนต ยังได้เคยทำงานอยู่ที่ธนาคารโลก จึงกล่าวได้ว่าน่าจะมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การค้าและการพัฒนาประเทศพอสมควร จัดได้ว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่ของเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาโลกที่ 3 ที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ทั้งทางด้านความมั่นคง และความพัฒนาประเทศอีกทั้งก็ได้เรียนรู้การบริหารราชการจากสมเด็จฮุนเซน ผู้บิดา
ทั้งนี้การจะขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงปีหน้าโดยประมาณนี้ ก็ยังไม่ต้องบริหารราชการอย่างโดดเดี่ยว เพราะมีข่าวออกมาว่า สมเด็จฮุนเซน ผู้บิดาเอง ยังจะไม่ละทิ้งกิจการการเมืองอย่างสิ้นเชิง โดยอาจจะเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาอันเป็นตำแหน่งสูงสุดเป็นที่สองรองจากกษัตริย์กัมพูชา เพื่อที่จะสามารถช่วยรักษาอิทธิพลของครอบครัว และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับ นายพล ฮุน มาเนต บุตรชาย ไปในระยะแรก
ฉะนั้นเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่แสนจะเอื้ออำนวยดังกล่าวแล้ว ประเด็นก็คงขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของนายพลฮุน มาเนต เป็นสำคัญแล้วว่า จะนำพากัมพูชาไปในทิศทางใดในขณะที่ความมั่นคงทั้งทางการทหารและการเมืองกัมพูชานั้นลงตัวแล้ว ภารกิจท้าทายที่จะรอ นายพล ฮุน มาเนตอยู่ก็คือเรื่องการพัฒนาสังคมเป็นสำคัญ (Social Development)โดยเฉพาะในเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการบริการทางด้านสาธารณูปโภค การศึกษา การพัฒนากำลังพล (Manpower) การสาธารณสุข และที่อยู่อาศัย และรายได้ของประชาชนพลเมือง
ในเรื่องการต่างประเทศ การบ้านที่รอ นายพล ฮุน มาเนต ก็จะมีเรื่องบทบาทของกัมพูชาในอาเซียน เรื่องการร่วมพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องประเด็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และเรื่องการปรับและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม และระหว่างกัมพูชากับไทย ซึ่งก็มีข้อสังเกตว่า นายพล ฮุน มาเนต เองนั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงอาเซียน และไม่มีความคุ้นเคยกับแวดวงต่างๆ ของทั้งไทยและเวียดนาม
ส่วนในแวดวงการเมือง สื่อ และวิชาการของไทย ก็ยังไม่คุ้นกับ นายพล ฮุน มาเนต เช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่จะต้องมีการเสริมสร้างความรู้จักมักคุ้น และความเป็นเพื่อน (Colleagues) ในแวดวงผู้นำรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งทั้งหมดนี้ จำเป็นจะต้องก้าวข้ามการใช้เรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องชาตินิยม เป็นหนทางของการเสริมสร้างคะแนนนิยมที่บ้าน แล้วโยนความผิดหรือบาปไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างที่เคยใช้กันมาในอดีต
นายพล ฮุน มาเนต ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ได้เห็นโลกกว้างก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะละทิ้งความคิดเดิมๆ และวิธีการปฏิบัติเดิมๆ ได้ เพื่อยุคใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคีต่างๆ และยุคใหม่ของประชาคมอาเซียน ที่จะไม่อยู่ในอาณัติหรือการแทรกแซงจากประเทศนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หนึ่งใดอีกต่อไป
และไม่ว่าอย่างไร เราก็ควรจะแสดงความยินดีกับผู้นำคนใหม่ของกัมพูชานี้ ด้วยความหวังและด้วยความปรารถนาดีว่า เขาจะเป็นผู้นำที่สร้างสรรค์ และเห็นแก่ผลประโยชน์รวมของประชาชนพลเมืองทั้ง 2 ฝั่งเขตแดน และของประชาชนพลเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พรรคการเมืองต่างๆ ของไทยก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องรู้จักผู้นำรุ่นใหม่ของกัมพูชา และรู้จักมักจี่กับพรรคการเมืองต่างๆ ของกัมพูชา เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องมีการร่วมมือกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี