ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์นับถอยหลังการเลือกตั้ง ซึ่งได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และในขณะเดียวกันก็ยังมีเรื่องฟ้องร้องให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภากันอยู่ และถ้าหากตกเป็นโมฆะก็เท่ากับว่าไม่มีการยุบสภา แต่เวลาในการเลือกตั้งทั่วไปกกต. ก็ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับเวลาที่เหลืออยู่
ในขณะเดียวกัน สายตาผู้คนก็กำลังจับจ้องมอง กกต. เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีปัญหาตั้งแต่การแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว
มีการกล่าวหาว่ามีการแบ่งเขตเลือกตั้งไม่เป็นธรรมทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งแก่พรรคการเมืองบางพรรค และมีการฟ้องร้องขอให้เพิกถอนกันอยู่ ซึ่งถ้าหากศาลตัดสินว่าการกำหนดเขตเลือกตั้งเป็นโมฆะ ก็อาจส่งผลต่อการเลือกตั้งว่าเป็นโมฆะด้วย หรือมิฉะนั้นก็ต้องกำหนดเขตเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งจะทันหรือไม่ทันการเลือกตั้งก็ต้องคอยดูกันต่อไป
กกต. เองก็ต้องเข้าใจว่าที่มาของ กกต. นั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจของ คสช. ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม จึงถูกเพ่งเล็งอยู่ตลอดมา แค่ทำหน้าที่ให้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมตามปกติธรรมดาก็ถูกตั้งข้อสงสัยแล้ว แต่ถ้าหากล่วงล้ำก้ำเกินให้ผู้คนเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ก็ทำให้การเลือกตั้งมีปัญหา และในที่สุดนอกจากบ้านเมืองจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายแล้ว กกต. เองก็ต้องสังวรว่าในอดีตนั้น กกต. ก็เคยติดตะรางมาแล้วได้เหมือนกัน
เพราะปรากฏการณ์เหล่านี้จึงทำให้ผู้คนทั้งหลายมีความคิดว่าการเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้นนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่ทุจริต และมีการโกงเลือกตั้งครั้งมโหฬารที่สุดของประเทศไทย ดังนั้นมหกรรมระดมพลังประชาชนทั่วประเทศเพื่อจับโกงเลือกตั้งจึงเกิดขึ้น กลายเป็นวาระระดับชาติไปแล้ว
ดังนั้นถ้ามีการกระทำใดที่ส่อไปในทางไม่สุจริตไม่เที่ยงธรรม หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองบางพรรค ก็เท่ากับจุดไฟเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งเป็นการซ้ำเติมวิกฤตทั้งหลายในบ้านเมืองเพิ่มเข้าไปอีกจึงควรที่ทุกคนทุกฝ่ายจะต้องสังวรเอาไว้
ในสถานการณ์นับถอยหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น นั่นคือเกิดการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองเพื่อเตรียมการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ขั้วพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันก็พยายามจะแสดงให้เห็นว่ายังจะรวมตัวกันต่อไปหลังการเลือกตั้ง ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรครู้สถานการณ์ดีว่าถ้าขืนทำให้ประชาชนเข้าใจว่าจะรวมตัวเป็นรัฐบาลกันอีกพรรคนั้นก็จะถูกประชาชนต่อต้าน และในที่สุดก็จะไม่ได้รับเลือกตั้งตามที่คาดฝันไว้
เพราะเหตุนี้พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคจึงได้แสดงท่าทีและกระทำการมากหลายเพื่อบอกเป็นนัยให้ประชาชนรู้ว่า “กูไม่เอาแล้ว” นั่นคือจะไม่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลขั้วเดิมอีกแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคการเมืองนั้นได้รู้กระจ่างเป็นอย่างดีว่ากรรมทั้งหลายอันได้กระทำมาแล้วเป็นอย่างไร ที่กำลังทำอยู่เป็นอย่างไร และที่จะทำต่อไปเป็นอย่างไร รวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากกรรมเหล่านั้นดังนั้นจึงพากันเอาตัวรอด
เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแสดงท่าทีในลักษณะนั้น พรรคการเมืองขั้วตรงกันข้ามที่เคยเป็นฝ่ายค้านมาก่อนก็ได้ที ยิ่งผลโพลล์อิสระครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้ยืนยันผลอย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะชนะท่วมท้นชนิดแลนด์สไลด์ ตามมาด้วยพรรคก้าวไกล กระทั่งล่าสุดก็มีข่าวระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกตั้งถึง 310 เสียง เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรโดยเด็ดขาด
และขาดอีกเพียง 66 เสียง ก็เพียงพอต่อการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องพึ่งมือ สว. 250 คนเลย และแค่ 66 เสียงนั้น ก็มีข่าวระบุว่าถึงแม้พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ก็จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีให้แก่พรรคเพื่อไทยเพื่ออนุโลมตามเสียงเรียกร้องของประชาชน ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการตบปาก สว. ปากเสีย 2-3 คน ที่แสดงตนเป็นทาสไม่ลืมหูลืมตา โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเยี่ยงนั้นได้กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับช่วยหาเสียงให้แก่พรรคเพื่อไทยยิ่งกว่าพรรคเพื่อไทยหาเสียงเองเสียอีก
นั่นเป็นการแสดงอาการและท่าทีของอดีตพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งขณะนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าผลการเลือกตั้งคะแนนเสียงจะเทไปพรรคฝ่ายค้านเดิม
ในขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลสำคัญคือพรรคภูมิใจไทยก็มีปัญหากระทบกระทั่งกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสองพรรค ทั้งในเรื่องแผนพิฆาตล้มบ้านเผาพรรค แผนตกปลาในอ่าง และแผนเตะตัดขา จนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป
จึงเกิดเหตุการณ์กินข้าวร่วมกันที่บ้านป่ารอยต่อ แล้วเกิดเป็นกระแสก่อตั้งพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลใหม่ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประมาณการว่าจะมีผู้แทนราษฎรรวมกันประมาณ 140 คน และด้วยจำนวนเสียงดังกล่าวก็จะกลายเป็นขั้วกลางที่ถ้าหากจับมือกับฝ่ายค้านเดิมก็จะทำให้รัฐบาลใหม่มีเสียงท่วมท้น มีเสถียรภาพมากที่สุด หรือถ้าหันมาจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติก็ยังพอกล้อมแกล้ม กระทั่งอาจเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ความจริงพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นพรรคแกนในการจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะไม่มีทางที่จะมีเสียงมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่จะมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน และยากที่จะมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังมีความคาดหวังว่ามีฐาน สว. 250 คน ขอเพียงมีเสียงเบื้องต้น 126 เสียง ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว
จึงเป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดราคาค่างวดสำหรับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อาจจะมองข้ามไปว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เหมือนการเลือกตั้ง 2562 ที่ครั้งนั้น คสช. ยังเรืองฤทธานุภาพ ยังใช้กำลังฝ่ายความมั่นคงแทบทุกหน่วยงานเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งในทางลับและทางแฝงได้ ทั้งยังมีมาตรา 44 อยู่ในมือ
แต่ครั้งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีมาตรา 44อยู่ในมือแล้ว ฐานทางทหารก็ขาดลอยไปแล้ว สว. เองก็แบ่งออกเป็นหลายพวกหลายเหล่า ยากที่ใครจะมั่นใจได้ว่าใครจะคุมเสียงได้ทั้ง 250 คน โดยเฉพาะ สว. ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเคยพึ่งพาอาศัยบารมีบ้านใหญ่ให้ได้รับเลือกตั้ง ก็มิใช่ทาสในเรือนเบี้ยที่จะสั่งซ้ายสั่งขวาได้ ม้าคอกใครก็ย่อมไปทางคอกนั้น เสียง 250 คน ก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
และถ้าเกิดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือเมื่อได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่ถึง 250 คน ก็อย่าหวังว่าจะมีอำนาจต่อรองที่จะยุบสภาเอาได้ตามใจ
เพราะคราวนี้บอกไว้ตั้งแต่วันนี้ได้เลยว่าถ้าอุตริจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทันทีที่คณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ฯฝ่ายค้านก็พร้อมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ โดยข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เคารพและเชื่อถืออำนาจอธิปไตยของปวงชนที่มอบฉันทามติข้างมากให้แก่ฝ่ายค้าน กลับใช้เล่ห์กลอันไม่สุจริตคืออาศัยเสียง สว. ซึ่งไม่ใช่ผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริงมาลงคะแนนเสียงให้ จึงจำเป็นต้องเฉดออกไป ไม่จำเป็นต้องให้เวลาบริหารบ้านเมือง
ทันทีที่ฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไป รัฐบาลก็จะยุบสภาไม่ได้ ต้องนั่งรอเวลาให้เขาเฉดหัวออก ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกิน 250 เมื่อรวมกับพรรคพันธมิตรมีเสียงเกิน 300 เขาก็สามารถเฉดหัวออกให้ได้อับอายขายหน้าไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ
ดังนั้นอย่าได้คึกคะนองว่าขอให้เป็นรัฐบาลก่อน แม้เป็นเสียงข้างน้อย ก็จะใช้อำนาจยุบสภาเป็นเครื่องต่อรองได้ เพราะไม่ทันได้ใช้อำนาจต่อรองและไม่ทันได้นั่งเก้าอี้ในตำแหน่งก็กระเด็นออกจากตำแหน่งให้เป็นที่อับอายไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้ว
ดังนั้นใครที่คิดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยไม่เคารพอำนาจอธิปไตยของปวงชนก็ต้องคิดเสียใหม่ เพราะไม่ใช่หนทางอันประเสริฐ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง มีแต่จะเกิดความหายนะทั้งแก่ผู้กระทำการนั้นเองและแก่บ้านเมืองเป็นส่วนรวมด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี