พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายหาเสียง เติมเงินในกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท

หลังจากก่อนหน้านี้ ทั้งนายใหญ่ ทั้งบริวาร เคยด่าการแจกเงินแบบสาดเสียเทเสีย

1. พรรคเพื่อไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการ และนายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหาร ร่วมแถลงข่าวแจกแจงรายละเอียด สาระสำคัญ สรุปดังนี้

ระบุว่า นโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล เติมเงินในกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท เป้าหมายสำคัญ คือ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของคนในท้องถิ่นโดยจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ระบุวิธีการใช้เงิน กำหนดพื้นที่ใช้จ่าย และจำกัดไม่ให้นำไปใช้ไม่เหมาะสม

ถ้าจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ จะเริ่มดำเนินการให้ทันภายในวันที่ 1 มกราคม 2567

นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าวว่า งบประมาณนโยบายดังกล่าวยืนยันว่าเงินแผ่นดิน โดยจากการประเมินของหน่วยงานรัฐคาดว่าจะมีการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาทและจากภาษีต่างๆ อีก 100,000 ล้าน รวมถึงงบจากโครงการอื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้วรวมกัน (วงเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท)

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ต่อจากนี้คนไทยอายุ 16 ปี ขึ้นไปจะมี 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และบัญชีดิจิทัล วอลเล็ต ที่จะผูกบัตรประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนโดยอัตโนมัติ

นายจักรพงษ์ ยืนยันว่า จะไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะดำเนินโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป และคาดว่าทันทีที่เริ่มโครงการคนไทยจะไม่อยากใช้บัตรคนจนอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้สามารถลดงบประมาณส่วนของบัตรคนจนลงไปได้ 50,000 ล้านบาท

นายเศรษฐา ทวีสิน ปราศรัยที่จังหวัดน่าน ยืนยันว่ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ในรัศมี 4 กิโลเมตร ถ้าครอบครัวมี 4-5 คนเท่ากับมีเงิน4-5 หมื่นบาท เพียงพอไปสร้างอาชีพหรือตั้งตัวได้ ต่างจากรัฐบาลปัจจุบันที่มาหยอดน้ำข้าวต้ม ทีละ 500-1,000 บาท

2. ชัดเจนว่า นโยบายเติมเงินในกระเป๋าดิจิทัล คนละ 10,000 บาท ก็จะต้องใช้เงินแผ่นดินมูลค่ากว่า5 แสนล้านบาท

ไอ้ที่มีกองเชียร์มาขี้โม้ว่า จะไม่ต้องใช้เงินแผ่นดิน นั่นคือหลับหูหลับตาโกหกตัวเอง

มันคือการแจกเงินให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน + คนอายุ 16 -18 ปีด้วย น่าจะราวๆ 55 ล้านคน

แจกให้คนละ 10,000 บาท คิดเป็นมูลค่าเงิน 550,000 ล้านบาท

ไม่ว่าจะแจกเป็นเงินดิจิทัล เหมือน token ไม่ให้กดเงินสดออกมา ให้ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในรัศมี 4 กม.ในช่วง 6 เดือน (ชาวบ้านสะดวกหรือ) แต่สุดท้าย ผู้ขายก็ต้องเอาไปแลกเงินบาทจริงๆ จากแบงก์รัฐ ซึ่งต้องมีเงินจริงๆ รอจ่ายให้เขานั่นเอง มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท

ดูทรงแล้ว เหมือนเอาเงินหลวงมาวางเดิมพัน เหมือนผีพนันเล่นเสียแล้วหน้ามืด ต้องชนะ

อดอยากไม่ได้เป็นรัฐบาลมา 9 ปี ทักษิณอยากกลับบ้าน

หรือเป็น “อาการลงแดง” ขาดอำนาจรัฐ !!!

นี่คือการเลือกตั้ง หรือประมูลอำนาจรัฐ?

3. พรรคเพื่อไทย โดย นพ.พรหมินทร์ยอมรับเองว่า คาดว่าในปีนี้ ภาครัฐจะมีการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาท ก็จะเอาเงินส่วนนี้มาแจก บวกกับเงินจากภาษีต่างๆ

เท่ากับยอมรับว่า รัฐบาลปัจจุบันบริหารจัดการเศรษฐกิจประเทศ รอดพ้นจากวิกฤตใหญ่ระดับโลกมาได้ด้วยดี ตอนนี้ จะเก็บภาษีได้มากกว่าเป้าหมายถึง2.6 แสนล้านบาท

แต่แทนที่จะเอาเงินส่วนนี้ ไปเร่งชำระหนี้สินประเทศเพื่อลดภาระดอกเบี้ย หรือเอาไปลงทุนพัฒนา หรือสนับสนุนการประกอบอาชีพของชาวบ้านให้มีรายได้งอกเงยกลับมา กลับเล็งจะเอาเงินมาแจกผ่านนโยบายหาเสียงดังกล่าว

4. การแจกเงินให้ประชาชน ไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายเสมอไป

แต่การอัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มกว่า 550,000 ล้านบาทเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่ม เงินเฟ้อเพิ่ม ดอกเบี้ยเพิ่ม ภาระทางการคลังเพิ่มจากนโยบายเดียวสูงถึงครึ่งล้านล้านบาท

ในภาวะที่เศรษฐกิจภาพรวมเริ่มฟื้นตัว รถขายดี บ้านขายหมด กำไรสูงเป็นประวัติการณ์ นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา การลงทุนเพิ่มขึ้น การบริโภคเริ่มฟื้น

ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระทางการคลังไปกับการแจกเงินมากถึงขนาดนี้

ลองดูง่ายๆ กิจกรรม การค้า งานอีเว้นท์ต่างๆ คอนเสิร์ต การท่องเที่ยว คนเข้าพักโรงแรม คนเดินทาง ฯลฯ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ธุรกิจอสังหาฯ ลงทุนรอบใหม่หลายแสนล้านบาท เพราะยอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมยานยนต์ เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าโตก้าวกระโดด

ภาพรวมการส่งออก ขยายตัว การส่งออกทั้งปี 2565 บวก 5.5% เกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4% (ช่วงต้นปี’66 ติดลบ แต่ภาพรวมทั้งปี’66 ยังประเมินว่าเป็นบวก)

ภาพสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ปี 2566 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศที่จะได้ฟื้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังเผชิญกับวิกฤตโลกรุมเร้า ทั้งโควิด ทั้งสงครามการค้า วิกฤตพลังงานโลก

5. ถ้ารวมกับโครงการอื่นๆ อาทิ เติมเงินให้ครอบครัวมีรายได้ถึง 2 หมื่นบาท, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ถ้าไม่ยกเลิกก็ต้องตั้งงบไว้), เบี้ยสูงวัย ฯลฯ

อีกทั้งยังต้องใช้หนี้จำนำข้าวที่ยังค้างอยู่เกือบ 2 แสนล้านบาท

งบรายจ่ายประจำแต่ละปีอยู่แล้วกว่า 70% ของงบประมาณประจำปี

จะสร้างปัญหาวินัยทางการเงินการคลังแน่นอน (โดยไม่จำเป็นเหมือนช่วงโควิด ที่ผู้คนต้องหยุดงาน ขาดรายได้)

อย่าลืมว่า รัฐบาลไม่สามารถพิมพ์แบงก์ได้เอง โดยไม่ต้องจัดเก็บรายได้ เก็บภาษี หรือเพิ่มการกู้ยืมเงินไม่มีขีดจำกัด

จุดเริ่มของจุดจบประเทศสู่หายนะ กรณีศึกษาของหลายๆ ประเทศ ก็คือการเอานโยบายลดแลกแจกแถมมาซื้อเสียง แย่งชิงอำนาจกัน แล้วโกงกิน

6. น่าเป็นห่วงประเทศ.... รัฐบาลปัจจุบัน มีการติดตามสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศอย่างใกล้ชิด และมีการบริหารที่สามารถพาประเทศผ่านวิกฤตระดับโลกมาได้

โดยที่สถานะการเงินการคลังของประเทศก็ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง (รัฐบาลได้รับการชื่นชมจากนานาชาติ รมว.คลังได้รับการยกย่องระดับโลก)

ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 2,531,656 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.57 จากปีก่อน

ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565มีจำนวน 624,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากการเกินดุลเงินสดของภาคงบประมาณเป็นสำคัญ

ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565มีจำนวน 10,373,937.59 ล้านบาท

คิดเป็นร้อยละ 60.41 ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมา

ฐานะการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial:SFIs) ภาพรวมยังคงอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ

ฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ในภาพรวมอยู่ในระดับแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานสากล

แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ถ้าประเทศชาติและประชาชน ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองกระหายอำนาจรัฐ

แข่งกันถลุงเงินแผ่นดิน เพื่อหวังได้อำนาจรัฐ

ไม่คำนึงถึง หรือไม่รู้ หรือไม่สนใจถึงความเสี่ยงทางการเงินการคลังของประเทศ

มุ่งหวังยึดอำนาจรัฐ โดยที่นักการเมืองทุจริตหนีคุกบางคนพยายามแอบแฝงกลับบ้าน หลังเลือกตั้ง

นี่คือความเสี่ยงหายนะของประเทศไทยครั้งใหญ่

คงจำได้ “คนตาบอด มันไม่กลัวเสือหรอกพี่เหนาะ”

สันติสุข มะโรงศรี