หลายครั้งที่ผ่านมา ในเวลาที่เข้าสู่การเลือกตั้ง “ความตายของคนเสื้อแดง” มักถูกหยิบจับกลับมาใช้ “หาประโยชน์” ทางการเมืองเสมอ
1) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว เนื่องในวันสลายชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี’53 ระบุว่า ครบรอบ 13 ปี 10 เมษา 2553 ขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย ให้กำลังใจทุกคนผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียม และขอประณามทุกความรุนแรงที่ผู้มีอำนาจกระทำต่อประชาชน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย และการอำนวยความยุติธรรม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเช่นกัน 13 ปีเราไม่ลืม
วิเคราะห์ : ถ้านายเศรษฐา ไม่มีปัญหาด้าน “ความทรงจำ” ก็น่าจะมีปัญหาด้าน “จริยธรรม” เพราะคนที่ปลุกระดมประชาชนออกไปชุมนุมในนามกลุ่มเสื้อแดงเกี่ยวพันทั้งกับคนในพรรคเพื่อไทย คนที่พรรคเพื่อไทยเอามาเป็นสส. และรัฐมนตรีในเวลาต่อมา กระทั่งชัดเจนว่าเกี่ยวพันกับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ด้วย
ถึงที่สุด การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ถูกชี้จากศาลหลายครั้งว่า เป็นการชุมนุมที่เกินขอบเขตตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจึงมีความชอบที่จะสลายการชุมนุม กระนั้นก็ตามไม่ได้หมายความว่า จะใช้ความรุนแรงที่เกินขอบเขตได้ “ความตาย” ที่เกิดขึ้น เกิดทั้งกับฝั่งประชาชนที่ร่วมชุมนุมและไม่ใช่ เกิดกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้อง “ค้นหาความจริง” ว่า “ใครทำ” และต้องนำเข้าสู่ “กระบวนการยุติธรรม”
แต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม่ยอดขมองอิ่มของนายเศรษฐามิใช่หรือ ที่ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทำลายกระบวนการพิสูจน์ความจริง และการนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษ ก้าวล่วงอำนาจตุลาการ และทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างชัดเจน เช่นนี้ คำว่า “อำนวจความยุติธรรม” ไฉนเพิ่งงอกออกจากลมลิ้นในเวลานี้เล่า ช่วยวิจารณ์การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ไม่อำนายความยุติธรรมหน่อยเป็นไร
2) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเช่นเดียวกันว่า 13 ปีแล้ว วันแรกของการส่งทหารเข้ายึดพื้นที่และใช้กระสุนจริงกับประชาชนมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก 13 ปี 10 เม.ย. 13 ปีเราไม่ลืม ถึงวีรชนผู้ต่อสู้ทุกท่าน ไม่มีวันไหนที่พวกเราจะลืมและขอยืนยันว่าจะเรียกร้องให้คืนความยุติธรรมแก่ผู้เสียสละเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนต่อการทำงานของพวกเราในอนาคต เราสูญเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
วิเคราะห์ : ก็เช่นกัน ที่ต้องถามว่า แพทองธารมีปัญหาด้าน “ความทรงจำ” หรือ “จริยธรรม” กันแน่ ถามพ่อถามอาแล้วหรือยัง ว่า “ใช้งานคนเสื้อแดง” นปช.ไว้อย่างไร และ “ตอบแทน” พวกเขาอย่างไร เคยเฉดหัวพวกเขาเมื่อสมประโยชน์ ได้อำนาจหลังจากนั้นแล้วหรือไม่ การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ยัดไส้ “คดีทุจริตคอร์รัปชั่น” เข้าไปด้วย ควรเป็นเรื่องที่คนเสื้อแดง “ไม่มีวันไหนที่พวกเราจะลืม”เช่นกันหรือเปล่า
3) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เคยย้ายออกมาอยู่กับคณะรัฐประหาร และย้ายกลับเข้าทำงานกับพรรคเพื่อไทย เสนอนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดว่า “การแก้ปัญหายาเสพติดที่พี่น้องประชาชน พอใจผลงานรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ของนายทักษิณ จนถึงขั้นพร้อมใจกันบอกว่า คนที่แก้ปัญหายาเสพติดได้ดีที่สุดคือนายทักษิณ ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย ก็มีนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดแบบจริงจัง บวกกับผมที่ได้เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดอย่างหนักมากว่า 4 ปี ขณะเป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งได้แก้กฎหมายกว่า 24 ฉบับ เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด เพื่อเน้นยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายา โดยสามารถยึดอายัดทรัพย์ได้รวมกว่า 5 หมื่นล้านบาทตัดวงจรการค้ายาเสพติดไปได้จำนวนมาก ซึ่งเสมือนผมปูแนวทางใหม่ไว้แล้ว ถ้าขับเคลื่อนไปพร้อมกับนโยบายพรรคเพื่อไทย ก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหายาเสพติดได้”
วิเคราะห์ : ผมไม่ทราบว่าคนในประเทศนี้ เหลืออยู่กี่คนที่คาดหวัง “ความทรงจำ” และจริยธรรม” ของนายสมศักดิ์ เหมือนๆ กับนายเศรษฐาและนางสาวแพทองธารซึ่งเสมือนพยายาม “ลบความตาย” ของประชาชนทิ้ง แอบอิงแค่ส่วนที่ตนจะได้ประโยชน์ ทั้งคนตายในการชุมนุม ที่ต้องเจอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ไม่ให้ความยุติธรรมและการค้นหาความจริง และคนตายในการปราบปรามยาเสพติดแบบ “ฆ่าตัดตอน” ยุคนายทักษิณ ชินวัตร
นายสมศักดิ์ควรย้อนกลับไปอ่านข่าวนี้ คือ (27 พ.ย.2550) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษาและวิเคราะห์นโยบายปราบปรามยาเสพติด และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน (คตน.) เป็นประธานการประชุมระดมความคิดเห็นถึงมาตรการป้องกันทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีการนำนโยบายปราบปรามยาเสพติดไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อประชาชน โดยมีบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมและนักวิชาการด้านอาชญาวิทยาและนิติศาสตร์กว่า 50 คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น
นางจุฑารัตน์ เอื้ออำนวย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำนโยบายปราบปรามยาเสพติดไปปฏิบัติในทางไม่ถูกต้อง ว่า ควรจะมีการปรับโครงสร้างและกลไกในทางบริหารไม่ให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติรับคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และควรมีการกำหนดจรรยาบรรณความรับผิดชอบของบุคลากรในการบวนการยุติธรรม ในส่วนกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าโดยเฉพาะคดียาเสพติดควรจัดตั้งเป็นแผนกคดียาเสพติด เพื่อให้การพิจารณคดีมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อาจต้องนำมาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมทางอาญามาปรับใช้ เช่น หลักการว่าด้วยการป้องกันการวิสามัญฆาตกรรม และการลงโทษประหารชีวิตที่ไร้เหตุผล ซึ่งยูเอ็นมีข้อห้ามชัดเจนไม่ให้รัฐบาลออกคำสั่งหรือยุยงส่งเสริมให้บุคคลใดไปประหารชีวิตบุคคลอื่นโดยไร้เหตุผลและรวบรัด รวมถึงการกำหนดความผิดทางอาญาต่อผู้ที่ใช้กำลังบังคับให้บุคคลหายสาบสูญทุกรูปแบบ
ด้าน นายกุลพล พลวัน อัยการอาวุโส กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานพบว่าคดีวิสามัญฆาตกรรมสอบสวนไม่ยาก เพราะผู้ลงมือทำรับสารภาพว่าเป็นคนยิง แต่คดีฆ่าตัดตอนที่ตำรวจบอกว่าเป็นการฆ่ากันเองเพื่อตัดตอนของนักค้ายาเสพติด และไม่สามารถระบุตัวคนร้าย คดีในลักษณะนี้ตำรวจจะทำสำนวนแบบแผ่วบางแล้วของดการสอบสวน อัยการสั่งสอบเพิ่มก็ไม่เคยได้อะไร ดังนั้น 2,500 ศพ จากสงครามยาเสพติดคงรื้อลำบากเพราะไม่มีพยานสิ่งที่ทำได้มีแค่ระวังป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ผู้มีอำนาจต้องระวังการใช้นโยบายปราบปรามขั้นเด็ดขาด
ขณะที่ นายอุทัย อาทิเวช ประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการศึกษาและวิจัยมาตรการทำความเข้าใจต่อนานาประเทศ กล่าวว่า การชี้แจงทำความเข้าใจต่อต่างประเทศต้องมีตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายที่เร่งด่วนของผู้มีอำนาจก็เป็นเหตุให้เกิดการเบี่ยงเบนในการปฏิบัติงานได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลงานของ คตน.จะชี้แจงกับต่างประเทศให้เข้าใจได้ สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติขอให้หลีกเลี่ยงคำสั่งที่ขัดต่อกฎหมายโดยคำนึงเสมอว่าผู้สั่งวันหนึ่งก็ไปแต่กฎหมายและคดีจะติดตัวผู้ปฏิบัติไปตลอด แม้ว่าการขัดคำสั่งจะทำให้เราไม่อาจก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน แต่อย่างน้อยเราจะนอนตาหลับได้หลังเกษียณ
ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ระบุว่าจากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 1 ของ คตน.พบว่า การเสียชีวิต 2,500 ศพ ในช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย.2546 พบว่า 1,400 ศพ เป็นการเสียชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีเพียง 1,100 ศพเท่านั้น ที่ผู้ตายมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยการเสียชีวิตเกิดขึ้นมากในช่วงเดือน ก.พ.และค่อยๆ ลดลงในเดือน มี.ค.และ เม.ย.เนื่องจากในช่วงแรกที่มีการประกาศนโยบายขาดความชัดเจน จึงทำให้มีการสื่อความหมายในทางที่ผิด เริ่มต้นตั้งแต่การสำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดระดับชุมชนและหมู่บ้านจนไปถึงการลดเป้า ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติคิดว่าทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ผลตามข้อสั่งการ คือลดเป้านักค้ายาเสพติดให้ได้ตามกำหนด
พ.อ.ปิยวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)กล่าวว่าคดีฆ่าตัดตอนหาหลักฐานได้ยากหลายคดีจากการลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนของ ดีเอสไอ ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ บางคดีภรรยาเห็นสามีถูกตำรวจนำตัวขึ้นรถกระบะของทางราชการไปแต่ก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้สามีของเธอก็ยังเป็นบุคคลสูญหายจนถึงทุกวันนี้
4) 14 ม.ค.2546 นายทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกล่าวตอนหนึ่งว่า จะไม่อดทนกับปัญหายาเสพติดอีกต่อไปเพราะถือว่าทำลายประเทศชาติมานาน จะไม่อดทนกับผู้ที่มองว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องธรรมดา รัฐบาลมีนโยบายจะแก้ไข โดยใช้ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Area Approach (การกำหนดพื้นที่เป้าหมาย) เป็นหลัก “เมื่อยิงตายแล้ว ต้องยึดทรัพย์ด้วย” จะได้ไม่ทิ้งมรดกบาป การปราบยาเสพติดต้องเหี้ยมพอ เพราะคนค้ายาเสพติดเหี้ยมต่อลูกหลานเรา วันนี้เด็กไทยเสพยา 3 ล้านคน ติดงอมแงม 7 แสนคน ดังนั้นการที่เราเหี้ยมต่อผู้ค้ายาเสพติดจึงเป็นสิ่งที่ควรทํา
วันรุ่งขึ้น ศ.นพ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คัดค้านนโยบายการปราบปรามยาเสพติดที่นายกรัฐมนตรีระบุให้ใช้วิธี “เหี้ยม” โดยเห็นว่าแนวคิดนี้อาจทำให้เกิดการวิสามัญฆาตกรรมเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่ปัจจุบันก็มีมากอยู่แล้วรวมทั้งไม่สามารถแก้ปัญหาให้หมดไปได้
นายชวน หลีกภัย ผู้นําฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล จะทําให้เกิดการฆ่าคนได้โดยไม่จําเป็น เพราะคนที่กระทําผิดต้องดูลักษณะการกระทํา โดยใช้กฎหมายมารองรับ โทษหนักของยาเสพติดคือการประหารชีวิต ซึ่งเป็นคําสั่งของศาล ไม่ใช่ตํารวจ และผู้ปฏิบัติต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ผู้ให้นโยบาย...
ครับ, ทั้งหมดนี้ คงพอทำให้เห็นว่า “การตายของประชาชน” อาจไม่ใช่ความยี่หระของเศรษฐา แพทองธารหรือนายสมศักดิ์เลย แถมอาจถูกมองด้วยว่า กำลังหาประโยชน์จาก “ความตาย” ที่คนใกล้ชิดของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหน้าไม่อายด้วย !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี