วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ความที่ไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ากัมพูชาในสายตาชาวโลก การเปิดเกมรบย่อมเปิดทางให้กัมพูชา จอมสำออยและปลิ้นปล้อน สนุกกับการเล่นบท “เหยื่อ” ในเวทีโลกแน่ๆ เว้นเสียแต่ ตัวแทนประเทศไทยได้สื่อสารกับชาวโลกได้อย่างทันการณ์และครบถ้วน
เพื่อให้เห็นว่า “โลก” รู้อะไร ในกรณี“ไทย-กัมพูชา” เรามา “แกะรอย” จากถ้อยแถลงของ “โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ” นายนิกรเดชพลางกูร กันดีกว่า
โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตและบรรดาผู้แทนองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับพัฒนาการของสถานการณ์ล่าสุด โดยมีผู้เข้าร่วมที่เป็นเอกอัครราชทูต 58 ประเทศ 1 องค์กรและ 2 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 73 คน
ประเด็นสําคัญในการสรุปบรรยายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น คือ
1.กรณีการปะทะตามชายแดนไทย-กัมพูชา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด โดยเรียงลักษณะเหตุการณ์ตามไทม์ไลน์ทั้งสิ้นประมาณ 14 ครั้ง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนประจักษ์ว่า กัมพูชาเริ่มการปะทะในครั้งนี้
กรณีการปะทะเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา : กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงมาที่ไทยก่อน โดยเริ่มจากพื้นที่ภูผาเหล็ก พลาญหินแปดก้อน อําเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บ2 นาย และไทยได้มีการส่งหนังสือประท้วงไปยังผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว
ต่อมาในช่วงเช้ามืดของวันที่ 8 ธ.ค. ยังมีการปะทะอีกในหลายพื้นที่ : โดยทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง และมีรายงานด้วยว่ากัมพูชา ยังได้เคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกลเข้ามาในพื้นที่ และมีทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 8 นาย ล่าสุดฝ่ายกัมพูชายิงขีปนาวุธชนิด BM-21 ใส่พลเรือนในฝั่งไทยด้วย
ทั้งนี้ ตามที่สื่อมวลชนต่างประเทศบางแห่งเน้นการรายงานการโจมตีทางอากาศของฝ่ายไทยนั้น สาเหตุที่เราต้องใช้การโจมตีทางอากาศ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออํานวยให้ดําเนินการทางอื่นได้ เพราะพื้นที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด ขอย้ำว่าปฏิบัติการทางการทหารของไทยเป็นไปเพื่อการปกป้องตนเอง หลังจากที่เราถูกโจมตีก่อน และเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎการใช้กําลังตามหลักความจําเป็น ตามหลักความได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด
เมื่อคํานึงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และเพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายตรงข้ามยกระดับความรุนแรง และเสี่ยงต่อการสูญเสียในอนาคต ฝ่ายไทยจําเป็นต้องตอบโต้ตามหลักการ โดยทุกปฏิบัติการของไทย จํากัดเฉพาะเป้าหมายทางทหาร และระมัดระวังอย่างที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพลเรือน
โดยการดําเนินการของไทยเป็นไปเพื่อ
• ตอบโต้การถูกโจมตีก่อน
• กฎการใช้กําลังกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นไปอย่างได้สัดส่วน
• มีเป้าหมายทางการทหารเท่านั้น
ดังนั้น ฝ่ายไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการเปิดฉากยิงเข้ามาในดินแดนไทย โดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทย และทหารไทยเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายท่าน ทั้งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องอพยพกันอย่างกะทันหัน
การกระทําดังกล่าว ต่อเนื่องจากการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโจมตีไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปเปิดเผยหลักฐาน และชี้แจงต่อรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นการละเมิดข้อตกลงทุกอย่างที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ทั้งข้อตกลงหยุดยิง และถ้อยแถลงร่วม ซึ่งแสดงถึงการขาดความจริงใจในการแก้ไขความตึงเครียด ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยสันติอย่างชัดเจน
2. ผลกระทบต่อของการโจมตีต่อประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงอีกครั้งว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่การโจมตีของฝ่ายกัมพูชาทําให้ประชาชนไทยได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง ซึ่งตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 7 ธ.ค. พลเรือนผู้บริสุทธิ์ใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เกือบ 4 แสนคน ต้องอพยพไปยังพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ ไทยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียดังเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ความตึงเครียดจากการปะทะในขณะนี้ส่งผลให้โรงเรียนกว่า 600 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดน และโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ชายแดนหลายแห่งต้องปิดทําการชั่วคราว ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่ สิทธิบริการขั้นพื้นฐาน และบริการที่สําคัญแก่ประชาชนคนไทย
3. การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา
นอกเหนือจากประเด็นการละเมิดข้อตกลงต่างๆ โดยการโจมตีฝ่ายไทยอย่างไร้มนุษยธรรมแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ชี้แจงการออกมาเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน และให้ข้อมูลเท็จโดยไม่มีหลักฐานรองรับของฝ่ายกัมพูชา พฤติกรรมของกัมพูชาในครั้งนี้ และครั้งก่อนๆยังคงชัดเจนว่าสร้างสถานการณ์ โดยไตร่ตรองมาก่อน และมีเหตุจูงใจทางการเมือง ซึ่งเป็นรูปแบบซ้ำๆที่กัมพูชาได้ดําเนินการและใช้มาโดยตลอด โดยเฉพาะความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ จากกรณีการวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย ที่ไทยเพิ่งได้รายงานต่อประชาคมโลก
เนื่องจากเหตุปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ภายหลังจากไทยแถลงต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และได้เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่กัมพูชาได้ละเมิดพันธกรณี ด้วยการวางทุ่นระเบิดใหม่ในดินแดนไทยหลายครั้ง กัมพูชาพยายามสร้างภาพว่า เป็นฝ่ายถูกคุกคามหรือถูกรังแกมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถตอบคําถามของประชาคมโลก ต่อพฤติกรรมการละเมิดของตนเอง และยังกระทําการยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้เพื่อปกป้องชีวิตประชาชนไทยและรักษาปกป้องอธิปไตยของเรา
ยกตัวอย่าง เช่น กรณีการใช้ภาพเก่ากล่าวหาว่า การตอบโต้ของไทยทําให้เด็กนักเรียนชาวกัมพูชาต้องวิ่งหนีกันอย่างชุลมุนโดยตั้งใจ ทั้งที่ได้ประกาศอพยพคนออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงการที่หลายหน่วยงานของกัมพูชา พร้อมกันออกมาให้ข้อมูลเท็จว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน จนเป็นเหตุให้กัมพูชาต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเองในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งมีเอกสารออกมาภายในระยะเวลาไม่กี่นาที
หลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะเชิญเอกอัครราชทูตมาเลเซีย อุปทูตสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศที่เป็นสักขีพยานการลงนามถ้อยแถลงร่วม และมีหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา มีหนังสือเวียนชี้แจงเหตุการณ์ ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบ มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ และมีหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
นายนิกรเดช กล่าวสรุปประเด็นสําคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำต่อคณะทูต 5 ประเด็น คือ
1) สถานการณ์ในตอนนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เป็นการกระทําแบบเดิมๆ เป็นแท็กติกของฝ่ายกัมพูชาที่รุกรานไทยก่อน และปฏิเสธว่าไม่ได้ทํา รวมถึงเป็นการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ เช่น การลอบวางทุ่นระเบิด แม้กัมพูชาจะพยายามสร้างภาพของการเรียกร้องสันติภาพ และพูดว่าใช้ความยับยั้งชั่งใจ แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นฝ่ายทั้งยุแยง ยั่วยุและรุกรานก่อน
2) ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ดังนั้น เราจําเป็นต้องดําเนินการทางการทหารอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน
3) สาธารณชนไทยหมดความอดทนอดกลั้นต่อกัมพูชา ที่ไม่เคยคํานึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อความปลอดภัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงจะต้องปกป้องอธิปไตยและประชาชนของเรา จนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม
4) ท่าทีของไทยรวมถึงปฏิบัติการทางทหาร จะดําเนินไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่น การเลือกทางเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพที่แท้จริง
5) ขอย้ำว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเหยียบย่ำข้อตกลงหยุดยิง และถ้อยแถลงร่วม ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันไปเมื่อเดือนตุลาคม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
สรุป : ในสนามรบ ทหารเราก็รบกันสุดหัวใจ ในสนามโลก เราก็ต่อสู้อย่างเต็มกำลังเช่นนี้!!
จิตกร บุษบา

เปิดภาพ'ปราสาทตาควาย'พังยับ โซเชียลแห่เมนต์ไม่สนเศษหิน ขอแค่ทหารปลอดภัยได้แผ่นดินคืน
ฉะ‘เขมร’ละเมิดกติกาสากล นำครอบครัวร่วมภารกิจ-ใช้โบราณสถานเป็นฐานทหาร
หนาวก็ต้องดู! ศูนย์อพยพชายแดนสุรินทร์ ฉายหนังคลายเครียด หลังสถานการณ์ตึง 3 วันติด
ชู 'ห้องเรียนดิจิทัล' ปี‘68 พัฒนา 437 โรงเรียนกทม.เต็มพิกัด
‘กองทัพไทย’ชี้แจง‘ผู้ช่วยทูตทหาร’ 19 ชาติ ย้ำ‘กัมพูชา’ยั่วยุ-ใช้อาวุธต่อประชาชน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี