ขอเริ่มต้นจาก “ทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ” คือระบอบทุนนิยมซึ่งเป็นผู้ผลิตสร้างระบอบทุนนิยมที่ผลาญทรัพยากร แปรรูปทรัพย์สินส่วนรวม นำกลไกตลาดเข้ามาบริหารจัดการสังคม และใช้ปัจจัยของการตลาดเป็นเป้าหมายสูงสุด หรือที่อาจเรียกได้ตามคำนิยามของพลตรีจำลอง ศรีเมือง อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) และอดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม ที่เรียกว่า “ผู้นำแบบ “Charisma” (พรสวรรค์ความสามารถพิเศษ)” ไม่ใช่ในแบบแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
หลังการรัฐประหารรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรักษาการนายกรัฐมนตรี หลัง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากใช้อำนาจโดยมิชอบสั่งย้าย“ถวิล เปลี่ยนศรี” ออกจากตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 266, มาตรา 268 ทำให้ความเป็นรมต.สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 และไม่อาจอยู่รักษาการต่อไปได้
ที่ผ่านมามีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่กอบโกยผลประโยชน์จากทุนนิยมสามานย์ ส่วนทหารก็คือทหาร ไม่ใช่นักการเมือง แต่ถูกใส่คำจำกัดความว่าเผด็จการและทุนนิยมสามานย์ ซึ่งเป็นสองระบอบที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ความเชื่อนี้เองที่ถูกปลุกปั่นสร้างขึ้นให้ประชาชนต่อสู้กับระบบเผด็จการ แทนการต่อต้านทุนนิยมสามานย์ หรือ เสรีนิยมใหม่
ในช่วงที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ตัดสินใจดึงนักธุรกิจทุนสามานย์อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” เข้าสู่ถนนสายการเมือง เพียงเพราะความเด่นดังที่สามารถเป็นไอดอล เป็นผู้นำแบบ “Charisma” (พรสวรรค์ความสามารถพิเศษ) สร้างความหวังให้ประชาชนสามารถปฏิบัติได้จริง แต่ตรงข้ามทุนนิยมสามานย์นี้แปรรูปกิจการรัฐและรัฐวิสาหกิจ แปรรูปทรัพยากรสาธารณะและทรัพยากรชุมชนให้เป็นสินค้าไปป้อนแก่นายทุนเพื่อสร้างกำไร ตัดงบภาครัฐในการดูแลสวัสดิการประชาชน ใช้กลไกตลาดในการบริหารจัดการเศรษฐกิจแทบทุกอย่าง ทุบทำลายกิจการรายย่อย เปิดทางให้ทุนรายใหญ่เข้าแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากร เป็นยุคที่เทคโนแครตเสรีนิยมใหม่เรืองอำนาจ ชนชั้นนำและชนชั้นนายทุนร่ำรวยขึ้นก็เพราะระบอบนี้
จริงหรือไม่สังคมไทย ถ้าไม่โกหกตัวเอง เบิกเนตรตาสว่างจะได้ทราบได้เห็นคำตอบจากพฤติกรรมที่กลุ่มทุนสามานย์นี้ดำเนินการกับระบบเศรษฐกิจของไทย จนทำให้รวยขึ้นอย่างที่นิตยสาร Forb รายงานใช่หรือไม่
ในวันที่ “ทักษิณ”เล็งเห็นหนทางที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เขาได้ให้สัมภาษณ์ “อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” หลังออกจาก “พรรคพลังธรรม”ที่มหา 5 ขัน-พลตรีจำลอง ศรีเมือง คาดหมายให้เขานำพาพรรคเป็นของประชาชนแล้วจัดตั้ง “พรรคไทยรักไทย” ลงสนามการเมืองสู้ศึกเลือกตั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายเข้าสู่อำนาจทางการเมืองบนเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”
“ทักษิณ” ตอแหลสุดโต่งว่า “ผมเข้ามาเล่นการเมืองเพราะอยากทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองผมรวยแล้วผมไม่โกง” แต่ตลอดระยะเวลาการเรืองอำนาจทางการเมือง “ทักษิณ”ติดหล่ม “วงจรอุบาทว์”ดำเนินนโยบายที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์เอื้อต่อธุรกิจตนเอง เครือญาติและพวกพ้อง จนถูกดำเนินคดีและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว 4 คดี มีคำพิพากษาจำคุกฐานทุจริตคอร์รัปชั่น 12 ปี
ยิ่งไปกว่านั้นในยุคของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”น้องสาวที่ทักษิณดันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองต่อจาก “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”น้องเขย เขายังออกแคมเปญที่ว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” จนนำมาซึ่งหายนะทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาลจาก “โครงการรับจำนำข้าว” ที่นักการเมืองที่ควบคุมดูแลสั่งการอย่างไร้สามัญสำนึก ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างไม่ละอายแก่ใจ
เยี่ยงนี้แล้วสังคมไทยสมควรหรือที่จะให้โอกาสทุนสามานย์กลับมาสร้างวาทกรรมหลอกลวงผู้คนในสังคมผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศได้อีก
รวยแล้วไม่โกงมีอยู่จริง!?!หรือ
แค่มือถือสากปากถือศีล เท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี