ข่าวใหญ่ที่ขจรขจายไปทั่วโลกเมื่อช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ เหตุการณ์สู้รบชิงอำนาจระหว่างฝ่ายกองทัพประจำการ กับฝ่ายกองหนุนของซูดาน ซึ่งยังไม่มีทีท่าที่จะจบสิ้น ขณะที่ประชาชนพลเมืองต้องรับเคราะห์กรรมความยากลำบากเพิ่มขึ้นจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นในชีวิตต่างๆ หลังจากที่ได้ฟันฝ่าภยันตรายจากโรคโควิด-19 และการถดถอยของเศรษฐกิจการค้ามาเป็นเวลานาน
การสู้รบระหว่างกองทัพทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อชิงอำนาจรัฐ นั้นเป็นปรากฏการณ์เฉพาะหน้า และเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งของการเมืองการปกครองของซูดาน แต่อะไรเล่าที่เป็นเรื่องลึกซึ้งและสลับซับซ้อนไปกว่านั้นของซูดาน หรือนัยหนึ่งอะไรเป็นประเด็นปัญหารากเหง้าของซูดาน?
คำถามว่าด้วยที่ไปที่มาของการสู้รบดังกล่าวคืออะไร? คำตอบก็คงจะได้แก่ ประเด็นปัญหาของการสร้างรัฐชาติ (Nation-State Building) ซึ่งหมายถึงการจัดสร้างองค์กรอำนาจบริหารรัฐ(State Building) ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้สึกนึกคิดของความเป็นพลเมืองของชาติเดียวกัน (Nation Building)
ปรากฏการณ์และประเด็นปัญหาที่ซูดานก็มิได้ผิดแปลกไปจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย หรือที่เรียกว่าประเทศในโลกที่ 3 (The Third World) หรือประเทศในโลกภาคใต้ (The Global South) ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นประเทศเกิดใหม่ที่หลุดพ้นออกมาจากการเป็นอาณานิคมของฝ่ายยุโรป หรือไม่ก็เป็นส่วนน้อยที่มีความเป็นเอกราช เช่น ประเทศไทย ที่ยังอ่อนแอในเรื่องการบริหารจัดการบ้านเมือง และขาดองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และกิจการทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปและอเมริกาเหนือ
เหตุที่ประเทศซูดานเหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ที่มีความยุ่งเหยิงทางการเมือง กองทัพต่างๆ ทำการรบราฆ่าฟันกันเอง ก็เพราะประกอบด้วยประชาชนพลเมืองที่มีความหลากหลายในแง่ของชาติพันธุ์ วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และระบบความเชื่อถือ ในแต่ละเขตอาณาบริเวณของประเทศ โดยท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายดังกล่าวนั้น ยังไม่มีความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ด้วยหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย ออมชอม แบ่งปันผลประโยชน์ โดยเฉพาะทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ หรือการอำนวยให้ทุกหมู่เหล่ามีที่ยืนและมีบทบาทในสังคมประเทศอย่างทัดเทียม เสมอเหมือน ไม่มีฝ่ายหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด รวบอำนาจและครอบงำและจำกัดพื้นที่ยืนของฝ่ายอื่นๆ ที่มีกำลังน้อยกว่า
ซูดานมิได้เป็นประเทศแรกที่มีปัญหาขัดแย้งภายใน ในวันนี้ประชาคมโลกก็คงได้เห็น และกำลังเห็นซึ่งความขัดแย้งที่ลิเบีย ซีเรีย อิรัก เยเมน เอธิโอเปีย โซมาเลีย แอฟริกากลาง และเมียนมา เป็นต้น และนอกจากการขัดแย้งกันเพราะสีผิว ชาติพันธุ์ ระบบการเชื่อถือและการนับถือศาสนาแล้ว ในหลายๆ กรณีก็จะมีเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา ฝ่ายเสรีนิยมกับสังคมนิยม ฝ่ายศาสนานิยมกับฝ่ายประชาธิปไตย หรือไม่ก็เป็นเรื่องของการเข้ามาแทรกแซงของฝ่ายกองทัพ เพื่อเข้ามามีบทบาททางการเมือง
ในหลายๆ กรณีที่มีการขัดแย้งกันเองภายในกองทัพ เช่นที่ ซูดานดังกล่าวนี้ ที่เมื่อเกิดปัญหาการขัดแย้งภายในในลักษณะของสงครามกลางเมือง ผลกระทบก็จะมีต่อประเทศเพื่อนบ้าน และต่อความสงบสุขของภูมิภาคแวดล้อมโดยบริเวณ จนนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงเพื่อถือหางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามใหญ่โตขึ้นไปอีก เพื่อให้เกิดการเจรจาเพื่อนำไปสู่สันติภาพและการวางระบบการสร้างรัฐและสร้างชาติกันใหม่ ด้วยหลักที่สำคัญที่สุดคือ การให้ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มศาสนาและความเชื่อถือ ไปจนถึงกลุ่มความคิดทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ต่างๆ ที่สามารถจะมีที่ยืนและมีบทบาทในสังคมได้ เช่น การมีรัฐสภาที่ทุกชาติพันธุ์และทุกกลุ่มศาสนาต่างมีผู้แทนในรัฐสภา หรือตำแหน่งในคณะรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี มีการคานอำนาจและหมุนเวียนตำแหน่งรัฐมนตรีกัน เพื่อเสริมสร้างความสมดุล และความรู้สึกที่ได้รับการปฏิบัติที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรม
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของสติของบรรดาแกนนำต่างๆ ว่า จะต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน และจะต้องเลิกฝันว่ากลุ่มของตนหรือชาติพันธุ์ของตนนั้นจะต้องเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในแผ่นดินนั้นการครอบงำโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็แม้จะกระทำได้ ก็เพียงในระยะสั้นหากจะลากอยู่ยาวต่อไป สุดท้ายก็ไม่พ้นจะต้องเผชิญกับการต่อต้านทั้งบนดินและใต้ดินเป็นธรรมดา ที่สำคัญความเป็นมนุษย์หมายถึงการมีสติปัญญาและขีดความสามารถในการใช้ปัญญา เพื่อแก้ประเด็นปัญหาต่างๆ โดยมิใช้อารมณ์ของความเป็นสิ่งมีชีวิต (สัตว์) แค่อย่างเดียว
ประเทศที่จัดได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed countries) หรือกลุ่มประเทศทางตอนเหนือ (The North)
ต่างก็เป็นสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายกันมาก่อนทั้งนั้น คือโดยทั่วๆ ไปก็มักจะมีชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ มีการนับถือศาสนาที่หลากหลาย แล้วก็มีการทำสงครามทางศาสนา ทางชาติพันธุ์ และทางอุดมการณ์ แต่สุดท้ายเขาก็สามารถที่จะฟันฝ่าหลุดพ้นการแก้ปัญหาความต่างด้วยการยุติการใช้ความรุนแรงออกไปได้ ด้วยการหันหน้าเข้าหากันและทำการเจรจา เพื่อให้ทุกหมู่เหล่ามีที่ยืนและได้รับการปฏิบัติที่ทัดเทียมกัน
ฉะนั้นก็คงจะไม่เกินวิสัยของผู้นำของชาติพันธุ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นที่เมียนมา ซูดาน และอื่นๆ ดังกล่าว ที่จะต้องหันสู่โต๊ะเจรจาและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพื่อการอยู่ร่วมกัน เพราะตราบใดที่ยังขัดแย้งกันอยู่ประเทศก็ถดถอยล่มจม ประชาชนพลเมืองก็เป็นผู้รับเคราะห์กรรมต่างๆ นานาโดยใช่เหตุ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี