นักวิชาการและนักสังเกตการณ์การเมืองสิงคโปร์กับนักวิชาการชาวออสเตรเลียกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงท่าทีของไทยต่ออาเซียนว่าด้วยเรื่องวิกฤตเมียนมา
หนังสือพิมพ์ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม ว่า พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย เช่น พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยซึ่งมีนโยบายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาและสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารของฝ่ายนางออง ซาน ซู จี ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ได้รับความนิยมมากกว่าพรรคการเมืองอนุรักษนิยม ที่ชื่นชมสถาบันกษัตริย์ และพรรคการเมืองฝักใฝ่ฝ่ายทหารในการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย ดังนั้น ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดท่าทีของไทยกับอาเซียนในประเด็นวิกฤตการเมืองเมียนมา
หากพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งนโยบายของไทยต่อเมียนมาต้องเปลี่ยนไป รัฐบาลไทยต้องลดหรืองดให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาและผลักดันให้มีปฏิสัมพันธ์ ให้มีการเจรจากับรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (National Unity Government=NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาเมียนมาของพรรคเอ็นแอลดี ฝ่ายนางออง ซาน ซู จี มากขึ้น
นักสังเกตการณ์ทางการเมืองกล่าวกับเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ว่ารัฐบาลที่เกิดจากการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม จะเจอกับปัญหาท้าทายทันที จากกรณีขัดแย้งรุนแรงในเมียนมา แรงกดดันจากสมาชิกอาเซียนพุ่งเป้ากดดันมาที่กรุงเทพฯให้ใช้ไม้แข็งต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ถึงแม้ว่านโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้เน้นประเด็นวิกฤตการเมืองในเมียนมามากนัก แต่นักสังเกตการณ์ให้ความเห็นว่าเป็นเดิมพันที่สูงมากหากรัฐบาลใหม่ของไทยละเลยไม่สนใจช่วยแก้วิกฤตเมียนมา
ก่อนมีวิกฤตโควิด-19 แรงงานเมียนมากว่า 2 ล้านคน อาศัยทำมาหากินอยู่ในประเทศไทยและชาวเมียนมาหลายแสนคน ทะลักเข้ามาเพิ่มหลังทหารยึดอำนาจวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยมักใช้แรงงานเมียนมานับล้านๆ คนเหล่านี้ เป็นเงื่อนไขกดดันให้รัฐบาลทหารคืนประชาธิปไตยให้ชาวเมียนมาและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เคยใช้แรงงานต่างชาติร่วมกิจกรรมทางการเมืองชุมนุมประท้วงกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา อีกทั้งยังเคยใช้แรงงานร่วมประท้วงแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ในบางโอกาสแรงงานต่างชาติถูกใช้ให้จาบจ้วงสถาบันสูงสุดของประเทศไทย
พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมีนโยบายและพฤติกรรมไปในทิศทางเดียวกับสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกคือกดดันคว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมาและให้การสนับสนุนฝ่ายต่อต้านการยึดอำนาจ
ในขณะที่รัฐบาลไทยซึ่งมีชายแดนติดกับเมียนมา เอนเอียงไปทางรัฐบาลทหารด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ผู้นำการยึดอำนาจและเป็นประธานคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration Council=SAC)
ด้านแคนดิเดตนายกฯและพรรคการเมืองสำคัญๆ ของฝ่ายประชาธิปไตยที่ลงแข่งขันการเลือกตั้งที่มีนโยบายโอนเอียงไปทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกามักใช้เหตุการณ์รุนแรงในเมียนมาปลุกระดมว่าความขัดแย้งในสหภาพเมียนมาหลายโอกาสก็กระทบเทือนด้านความมั่นคงของไทยและสร้างความเดือดร้อน ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายและทรัพย์สินเสียหายในดินแดนของประเทศไทย มีหลายครั้งที่ทหารเมียนมาใช้เครื่องบินรบทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ชายแดนไทย และหลายครั้งที่ระเบิดพลาดเป้าหมายมาตกในหมู่บ้านชายแดนของประเทศไทยสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตทรัพย์สินคนไทยและชาวเมียนมาเอง
พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ต่อต้านฝ่ายอนุรักษ์นิยมชื่นชมสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดถึงต่อต้านทหารที่ครอบงำการการเมืองไทยมานานปี บัดนี้ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยกำลังได้รับความนิยมเหนือกว่าฝ่ายอนุรักษนิยมชื่นชมสถาบันฯมาก เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ รายงาน
ผู้เขียนเข้าใจว่ารายงานข่าวชิ้นนี้ มีพื้นฐานมาจากการปลุกกระแสของสื่อไทยที่คนในครอบครัวของอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และอาศัยข้อมูลจากการปั่นกระแสของโพลล์บางสำนักที่โหมเชียร์พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยอย่างน่าสงสัยในจรรยาบรรณทางวิชาการ
เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์อ้างคำพูด นายเจมส์ คาร์ นักวิจัยจากสถาบันนานาชาติศึกษาในสิงคโปร์กล่าวว่า“รัฐบาลใหม่ (ของไทย) ต้องก้าวย่างอย่างระมัดระวังในความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารเมียนมา
ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่ เราคาดหมายว่ารัฐบาลไทยยังคงดำรงความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลทหารเมียนมาและรัฐบาลไทยคงผลักดันร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเมียนมาให้มีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติกับชาติต่างๆในสมาชิกอาเซียน
และดูเหมือนว่าประเทศไทยจะเป็นการปฏิบัติต่อเนื่องการเจรจาแสวงหาข้อยุติตาม track 1.5 ที่รัฐบาลไทยริเริ่มเมื่อเดือนมีนาคม
Track 1.5 คือ การพูดคุยเจรจานอกกรอบอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งประเทศไทยได้เชิญประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเมียนมารวมทั้งอินเดีย จีน ลาว ไทย และสมาชิกอาเซียนตลอดถึงตัวแทนรัฐบาลทหารเมียนมา และนักวิชาการมาพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการโดยมีผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์ของพลเอกมิน อ่อง หล่าย และผู้แทนด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทหารเมียนมาที่อยู่ในสหรัฐอเมริกามาร่วมเจรจาเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
“การพูดคุยนอกรอบอย่างไม่เป็นทางดำเนินไปด้วยดีที่สำคัญเราได้พูดกันเรื่องหยุดยิงด้วย”นักวิชาการด้านความมั่นคงหนึ่งใน ผู้ร่วมสัมมนา บอกแนวหน้า“แต่ดูเหมือนว่าทางอินโดนีเซียไม่ค่อยพอใจนัก”แหล่งข่าวกล่าว
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนปี 2566 ไม่พอใจ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ที่ไม่ปฏิบัติตามฉันทามติห้าข้อของอาเซียนและอินโดนีเซีย พยายามผลักดันให้มีการเจรจาครอบคลุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งภายในเมียนมา
อย่างไรก็ตาม เครก เรมอนด์ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรียเลียกล่าวว่า “รัฐบาลใหม่ของไทยอาจไม่เห็นด้วยกับการเจรจา track 1.5 เพราะหลายชาติในอาเซียนเห็นว่า มันด้อยค่าและบ่อนทำลาย กระบวนการสันติภาพของอาเซียน และให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารเมียนมา...ประชาคมอาเซียนใช้เวลานานผลักดันให้รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิบัติตามฉันทามติห้าข้อ แต่ก็ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย หนึ่งในฉันทามติห้าข้อคือให้ยุติความรุนแรงทันที และให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเจรจาเพื่อแสวงหาข้อยุติ” เรมอนด์กล่าว
เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานด้วยว่า ตั้งแต่ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน นางออง ซาน ซู จี รัฐบาลทหารเมียนมาเลือกที่ใช้วิธีปราบปรามทำลายฝ่ายต่อต้านการยึดอำนาจเป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิตและถูกจับจำนวนมาก
เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ก็เหมือนกับสื่อตะวันตกทั่วไปที่เสนอข่าวต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาเพียงด้านเดียว โดยไม่พูดถึงความโหดร้ายของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาที่เรียกว่า “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” (People Defense Forces หรือพีดีเอฟ) ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของ NUG ที่ก่อกวนวางระเบิดรายวันและสังหารประชาชนเป็นผักเป็นปลาเพียงแค่สงสัยว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นสายให้ทหารหรือเป็นฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมา
พีดีเอฟซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธและปัจจัยจากประเทศตะวันตกให้ใช้กำลังอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมาที่ประเทศตะวันตกมีเป้าหมายให้เกิดสงครามกลางเมืองในเมียนมาเหมือนกับที่สหรัฐอเมริกาจัดการให้เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน
จึงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อกระแสหลักที่โปรตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา จึงเสนอข่าวว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลนโยบายของรัฐบาลไทยที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารเมียนมาต้องเปลี่ยนไป
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี