ลางพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วยพรรคร่วมรัฐบาล ได้เริ่มประจักษ์เป็นที่แน่ชัดจากผลของการสำรวจ หยั่งเสียง หยั่งความนึกคิดของประชาชนพลเมืองกลุ่มต่างๆ ในช่วงเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง
โพลล์คะแนนนิยม และความสนอกสนใจของประชาชนพลเมืองนั้นมิได้สำรวจแค่ในกลุ่มคนหนุ่มคนสาวแต่รวมถึงชาวบ้านโดยทั่วไปซึ่งจัดได้ว่าเป็นพลังเงียบที่ออกมาสนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งผลคะแนนได้ถีบตัวขึ้นมารวดเร็วอย่างน่าเกรงขาม และผลการเลือกตั้งที่ออกมาในค่ำคืนของวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ก็มีผลออกมาตามการประเมิน และสถิติข้อมูลต่างๆว่าฝั่งพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจะกุมชัยชนะ
แต่ที่เกินความคาดหมายก็คือ การที่คะแนนเสียงของพรรคก้าวไกลออกมาสูงเกินกว่าการคาดการณ์ใดๆชนิดที่คาดไม่ถึงกัน โดยได้ถึง 150 กว่าที่นั่ง แถมยังได้คะแนนสนับสนุนจากประชาชนพลเมืองถึงกว่า 14 ล้านคนซึ่งเป็นการพลิกความคาดหมาย และรูปโฉมของการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยตรงสภาผู้แทนราษฎรอย่างอึกทึกครึกโครม
ในการนี้ผมก็ได้มีโอกาสสอบถาม แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับเพื่อนฝูง ญาติมิตรคอการเมืองทั้งหลาย คู่ขนานไปกับการติดตามข่าวสารบ้านเมือง และนำมาถามตนเองว่า ใครคือฝ่ายแพ้ และใครคือฝ่ายชนะ ในเวทีการเมืองปัจจุบันร่วมสมัยของราชอาณาจักรไทยเรานี้
ผมก็คิดว่าฝ่ายพ่ายแพ้น่าจะเป็น
1. พรรคเพื่อไทย เพราะไปไม่ถึงดวงดาวของความฝันว่า จะได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเป็นแลนด์สไลด์แถมยังตีโค้งเข้ามาเป็นที่ 2 ไม่ได้เป็นที่ 1 อีกด้วย แปลว่าปรัชญาการเมืองใหม่ของพรรคที่ว่าด้วย “ครอบครัวนำพาพรรคการเมือง” ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถดึงคะแนนนิยมให้เพิ่มพูนได้ และยังเสียรังวัดไปเสียอีกแต่ถือว่าโชคก็ช่วย ที่ยังสามารถเกาะพรรคก้าวไกลที่ได้ที่ 1 เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมได้
2. กลุ่มพรรคการเมืองที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปก็คือ พรรคการเมืองไดโนเสาร์ทั้งหลาย ที่ยังมีความคิดอ่าน และวิธีการเสนอข้อคิดเห็นว่าด้วยเรื่องนโยบายและมาตรการ รวมทั้งวิธีการหาเสียงแบบเดิมๆ เชยๆ ไม่เข้าอกเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการตอบสนองและความคุ้นเคยของคนรุ่นใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสื่อสารเหล่านี้
การเมืองในรูปแบบของการเชื่อบูชาผู้นำนำพาก็ไปไม่รอด การเมืองแบบ “บ้านใหญ่” หรือ “บ้านใหม่”ก็ไปไม่รอด ชาวบ้านโดยทั่วไปที่ต้องทนมีชีวิตอยู่กับบรรดาครอบครัวหรือตระกูลอิทธิพลทางการเมืองมานมนาน ด้วยความอึดอัดใจ รำคาญ และหวาดหวั่น แต่บัดนี้เขาได้ตัดสินใจปลดแอกจากข้อจำกัดต่างๆ เพราะเขามีพรรคการเมืองที่คิดใหม่ ทำใหม่ มาให้เป็นทางเลือก โดยเขาได้ตอบสนองพรรคการเมืองหน้าใหม่นี้อย่างเอาจริงเอาจัง
อีกทั้งระบบหัวคะแนนก็หมดหนทางทำมาหากิน เพราะประกอบด้วยบุคคลที่ไม่น่านับถือ เล็งแต่หาประโยชน์เข้าตน แล้วก็ถูกชาวบ้านดัดหลัง จากที่ทำเป็นยอมรับ “ค่าขนม” แต่กลับเข้าคูหาไปกาให้พรรคที่เขาเห็นว่าจะทำประโยชน์ให้กับเขาจริงจัง
นอกจากนั้นการพูดจาต่อชาวบ้านก็ไม่ใช่การใช้วาทะ หรือไหวพริบเฉพาะหน้าอีกต่อไป หากแต่นักการเมืองรุ่นใหม่จะต้องเอาสาระเนื้อหา และการแสดงออกว่า มีความตั้งใจ มุ่งมั่น และรักษาคำมั่นสัญญามาพูดจากัน
3. ฝ่ายกลุ่มอภิสิทธิ์ชนต่างๆ ที่มักมีความคิดเชิงอนุรักษ์ ก็ต้องออกมาทบทวนตัวเองและพิจารณาว่า จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง และคนหนุ่มคนสาวมีองค์ความรู้และมีบทบาทมากขึ้นอย่างไร เพื่อให้สังคมไทยไปกันได้ทั้งองคาพยพ
หลักพุทธอันสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ หลักอนิจจังทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงปรับเปลี่ยนนั้น ก็เพื่ออำนวยให้ผู้คนทุกคนสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ โดยการทำตนให้เป็นคนดี และในขณะเดียวกันก็ปฏิบัติอย่างดีต่อผู้อื่น ไม่ถือเขาถือเรา และไม่ยึดมั่นถือมั่น
ผมก็เห็นว่าประชาธิปไตยโดยทั่วไป ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะนั้นก็เพราะประชาชนพลเมืองได้ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพอย่างคึกคักและกว้างขวางในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ปราศจากความรุนแรงใดๆ และการละเมิดกฎเกณฑ์กติกาอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่ได้มีข่าวคราวว่าเกิดขึ้น โดยเสียงของประชาชนนั้นเป็นใหญ่และเด็ดขาด ผลออกมาก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับกัน และเป็นเครื่องเตือนสติว่า จะมิให้มีการดำเนินการใดๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ หรือมีนัยของการบ่อนทำลายเสียงของประชาชนและระบอบประชาธิปไตย
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ก็บ่งบอกได้ว่า สังคมไทยโดยประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ไม่เอาแล้วซึ่งการบ้านการเมืองการปกครองแบบอำนาจนิยม การเล่นพรรคเล่นพวก ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน และการหาประโยชน์เข้าตนแต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การปฏิเสธบทบาทของฝ่ายทหารการเมืองว่า มิใช่หน้าที่ และมิใช่เป็นเรื่องที่อันควรแต่อย่างใด ก็จัดได้ว่าสังคมไทยทั้งปวงมีชัยชนะร่วมกันคือ เราจะอยู่ร่วมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และการใช้อำนาจของปวงชนชาวไทยเพื่อและสำหรับปวงชนชาวไทยเท่านั้นจะเป็นอื่นมิได้
ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า การจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ก็จะแล้วเสร็จ ก็เป็นที่หวังว่าบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาทำหน้าที่อย่างจริงจัง และไม่สาละวนกับเรื่องของตัวเองจนกลับไปอิหรอบเดิม คือการใช้อำนาจโดยมิชอบ และการทุจริตคอร์รัปชั่น
เพราะนั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองระดับประชาชนนอกสภา บนท้องถนน และในโซเชียลมีเดีย และในที่สุดก็การเข้ามาแทรกแซงของฝ่ายกองทัพ จะด้วยความจำเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ หรือจะด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงทางการเมืองก็ตาม
ทั้งนี้ การปฏิวัติรัฐประหารโดยทั่วไป มักจะเป็นเรื่องปลายเหตุ คือทำให้ฝ่ายกองทัพเข้ามาข้องแวะกับการบ้านการเมือง แต่ต้นเหตุที่แท้จริงก็คือ ความเลวร้ายของพรรคการเมืองและนักการเมือง ที่ปากก็ว่าจะเข้ามารับใช้ประเทศชาติ และเป็นนักประชาธิปไตย แต่ในใจและในการปฏิบัตินั้นก็คือ โจรหรือเหลือบของสังคมนั่นเอง
ก็ได้แต่หวังว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเล็กพรรคน้อยใหม่ๆ ของคนหนุ่ม-สาว และสังคมไทยสมัยใหม่นั้น จะไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงรุ่นพี่ๆ แต่จะร่วมกันเริ่มศักราชใหม่ของความเป็นสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี