เมื่อนำเอาสถิติข้อมูลโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ผลการประเมินและการหยั่งเสียงทางการเมืองโดยสถาบันทั้งภายใน และภายนอกประเทศต่างบ่งบอกว่า ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในมุมอับในขณะเดียวกันประชาชนพลเมืองไทยโดยทั่วไปก็รู้สึกอ่อนเพลีย สิ้นความหวัง หมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความเชื่อถือไว้เนื้อเชื่อใจใดๆ ต่อฝ่ายผู้บริหารประเทศ สังคมไทยจึงตกอยู่ในสภาวะของการขาดดุลทางศีลธรรม ความไม่มียางอาย กลัวบุญ กลัวบาป ของผู้มีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้รุดหน้า การปิดบังข้อมูลข่าวสาร การบิดเบือนข้อเท็จจริง
วันนี้ การร่วมกันปิดบัง และการหันเหความสนใจไปในเรื่องที่ผิวเผินไร้สาระ ได้กลายเป็นเรื่องการปฏิบัติแบบธรรมดาๆ กันไปเสียแล้ว แถมกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำลังใช้กันอยู่ก็กลายเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการที่ดีในระบอบประชาธิปไตย เพราะมิได้มีเป้าประสงค์ที่จะขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย และตอบสนองความต้องการของประชาชนพลเมือง หากเป็นเพียงแค่เครื่องมือกลไกเพื่อตอบสนองและรองรับความเห็นแก่ตัวและความโลภ หลง ในอำนาจวาสนา เท่านั้น
ย้อนกลับไปในเวทีระหว่างประเทศเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว ประเทศไทยเราแสนจะโดดเด่นในการเป็นสังคมเปิด และได้แสดงขีดความสามารถในการพัฒนาตนเอง จัดได้ว่าประเทศไทยจนถึงเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วเรายังเป็นรัฐชั้นนำ เป็นที่กล่าวขวัญและโดดเด่นแต่ทว่าในช่วงประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยดูอับแสง มีนักคิดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ประเทศไทยได้สูญหายเวลาไป 10 ปี เหมือนกับญี่ปุ่นที่ช่วงหนึ่งหงอยเหงาเศร้าสร้อยหลังจากที่เคยโดดเด่นเป็นที่สุด แต่การเมืองของญี่ปุ่นเขามีเสถียรภาพมากกว่า ในขณะที่ของไทยเราตลอด 25 ปีที่ผ่านมาโดยประมาณ ก็เต็มไปด้วยการขัดแย้งทางการเมือง คณะรัฐบาลหลายคณะเป็นแค่หุ่นเชิดของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและการเงิน คณะรัฐบาลปัจจุบันก็จัดได้ว่าเป็นคณะรัฐบาลที่ใช้การไม่ได้ในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย
ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในมุมอับ หรืออาจจะใช้คำภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ก็ต้องเรียกว่าตกอยู่ใน Cul de Sac คือเข้าไปที่ปลายถนนที่เป็นวงกลมและไม่มีทางออกใดๆ ซึ่งก็หมายความ
ว่า จะต้องถอยออกมา เพื่อมาเริ่มต้นกันใหม่หมดแล้วประเทศไทยเราจะเริ่มต้นกันใหม่อย่างไรในเมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ไม่เอื้ออำนวย และเป็นส่วนหนึ่งของมุมอับหรือทางตันเสียเอง?
ส่วนการประท้วงขับไล่ก็จะเห็นผลที่ปลายทาง คือการเคลื่อนกำลังออกมาของฝ่ายกองทัพ พร้อมกับวลีที่ว่า “เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย” ซึ่งการปฏิวัติยึดอำนาจจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ใช่อำนาจหน้าที่และวิสัยของกองทัพ อีกทั้งการปฏิบัติดังกล่าวก็มิได้มีความชอบธรรม และไม่เป็นการบังควรเมื่อคำนึงถึงผู้ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย อีกทั้งการจะฝากความหวังไว้ให้กับการกลับตัวกลับใจของบรรดานักการเมือง ก็ดูจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ลมๆ แล้งๆ เพราะเขามิใช่องคุลีมาลกัน แต่ก็คือเปรตผู้หิวโหยที่เขาจะต้องหากินอย่างเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม สังคมไทยก็คงจะยังไม่อับจนถึงกระนั้น จะต้องมีทางออกเมื่อมาคิดได้ว่า ในการเล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์มีเรื่องที่ชาวบ้าน ลูกบ้าน หรือชาวประชา สามารถไปสั่นกระดิ่งที่หน้าประตูวัง หรือประตูทำเนียบของผู้ปกครองได้ เพื่อนำความมาร้องเรียน มาขอคำแนะนำ เป็นการสื่อสารเพื่อร่วมกันแก้ประเด็นปัญหาและขับเคลื่อนบ้านเมืองให้รุดไปข้างหน้าได้
ในโครงสร้างการเมืองในปัจจุบันของไทยก็มีการแบ่งแยกอำนาจรัฐออกเป็น 3 ส่วนหรือ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายบริหาร ซึ่งมีการคานอำนาจและถ่วงดุลกัน
ตามหลักสากล แต่ทว่าฝ่ายนิติบัญญัติไทยกลับมีภาษีและสถานะเหนือกว่าอีก 2 ฝ่าย เพราะฝ่ายนิติบัญญัติเป็นบ่อเกิดของฝ่ายบริหาร เป็นผู้ที่ให้การรับรองเห็นชอบฝ่ายตุลาการ และในความเป็นพิเศษหรือการมีสถานะที่เหนือกว่าอีก 2 เสาหลักของอำนาจทางการเมืองนั้น ประธานฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าฯเพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับสถานะ และความเป็นไปของสังคมไทยดังกล่าว เพื่อทรงรับทราบและวินิจฉัย เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสภาวการณ์ที่ตกต่ำและอับจนดังกล่าวนี้
สังคมไทยมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งโต๊ะการเมืองกันใหม่ โดยกลับไปทบทวนศาสตร์การเมืองของไทยเราเอง ซึ่งมักจะเริ่มต้นที่หลักธรรมเป็นสำคัญ มิใช่พึ่งพาแต่แค่หลักคิดหลักปฏิบัติของฝ่ายตะวันตกแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่ได้เป็นมากว่า 93 ปีแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี