เจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเช่นเดียวกันกับพวกเราทุกคน ซึ่งแม้ว่าพระองค์ท่านจะถือกำเนิดมาในตระกูลสูงส่งท่ามกลางความมั่งมี ศรีสุข แต่พระองค์ท่านก็มิได้เพลิดเพลินไปกับสภาพชีวิตแวดล้อม หากแต่ทรงได้สังเกตความเป็นไปรอบๆ ตัว จนเห็นความไม่เที่ยง และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ แล้วก็ได้ตั้งคำถามกับตัวพระองค์เองว่า มนุษย์จะสามารถหลีกพ้นจากความเปลี่ยนแปลง ความผันแปร ความเสื่อมโทรม ความไม่คงที่กันได้หรือไม่? และได้ตัดสินใจที่จะค้นหาคำตอบ ก็จัดได้ว่าพระองค์ท่านมีความคิดอ่านแบบนักวิทยาศาสตร์
ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้ตัดสินใจออกผนวช ซึ่งเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมในมวลมนุษยชาติ แล้วก็ได้ปฏิบัติตนเพื่อค้นหาคำตอบ ว่าด้วยความเป็นจริงและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ด้วยความเพียรเป็นเวลาถึง 6 ปี ด้วยการเข้าร่ำเรียนจากครูบาอาจารย์ ทดลองปฏิบัติตามคำแนะนำและแบบอย่างวิธีการต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ จึงดั้นด้นต่อไปในการค้นหาความจริงด้วยพระองค์เองและในที่สุดก็ทรงตรัสรู้ได้ด้วยตัวพระองค์เอง คือค้นพบซึ่งความจริงของชีวิต และการหลุดพ้นจากความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ซึ่งความจริงเป็นผู้ตื่นจากความหลงใหลไร้ปัญญา และเป็นผู้เบิกบาน หลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวาย สู่ความสงบและปีติ
เรื่องราวทั้งหมดได้บ่งบอกว่ามนุษย์สามารถพึ่งตนเองที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ ได้ โดยมิต้องพึ่งพาเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น มนุษย์สามารถเป็นผู้ประเสริฐ หรือเป็นยอดมนุษย์ได้ด้วยตนเอง (Super human being) และในการนี้เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นดังนักปฏิวัติสังคม (A revolutionary) และเป็นนักคิดทวนกระแสนิยม และความเชื่อถือดั้งเดิม (Against the trend and against conventional wisdom) กล่าวคือ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงการมีอยู่และพลังอำนาจของเทพเจ้าต่างๆ ที่เป็นความเชื่อถือของยุคสมัยนั้น
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งได้ก้าวไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็มิได้เก็บสิ่งที่ได้ค้นพบ ว่าด้วยความจริง และการหลุดพ้นจากความทุกข์ไว้กับพระองค์เอง หากแต่พระองค์ท่านได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปันความรู้ความเข้าใจเหล่านั้นแก่โลก และได้ใช้เวลาถึง 45 ปี ในการออกไปบอกกล่าวให้กับปวงชนทุกคน โดยมิได้มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และมิได้ทำตนเป็นเจ้าหรือผู้นำแห่งความรู้ที่จะชี้นิ้วและสั่งการ หากแต่แบ่งปันสิ่งที่ได้ค้นพบด้วยการพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบถามตอบ และคณะสาวกของพระองค์ท่าน ก็เป็นศูนย์รวมแห่งความทัดเทียมเสมอภาคกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ จัดได้ว่าเป็นองค์กรแบบประชาธิปไตยอันดับแรกๆ ของโลกก็ว่าได้ และที่สำคัญพระองค์ท่านก็มิได้ลืมเลือนญาติพี่น้องผู้มีพระคุณ พระมเหสี และพระโอรส ได้มีโอกาสเทศนาสั่งสอน เป็นการแสดงให้เห็นว่าการจากไปเป็นการชั่วคราว มิได้สูญเสียเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
เนื่องในโอกาสวิสาขบูชาเวียนมาอีกหน ผมก็ขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านได้น้อมรำลึกเคารพบูชาเจ้าชายสิทธัตถะผู้ประเสริฐยิ่งกันอย่างสุดซึ้ง และร่วมกันปฏิบัติตนอันควรเพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตนี้ และการหลุดพ้นจากความทุกข์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี