พรรคก้าวไกล ประกาศนโยบายหาเสียง “ขึ้นค่าแรงทุกปี เริ่มทันที 450 บาท”
ล่าสุด แม้ยังไม่ได้เป็น สส. ยังไม่ได้ถูกเลือกเป็นนายกฯ แต่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่ รมว.คลัง ศิริกัญญา และคณะ ก็ได้เดินสายพบปะภาคธุรกิจ เพื่อสื่อสารนโยบายที่จะทำ
1. เมื่อวันที่ 23 พฤษภคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ได้เข้าพบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. พูดคุยถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท
ปรากฏว่า ในระหว่างการพูดคุย มีผู้บริหารของ ส.อ.ท.ทักท้วงด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
ผู้บริหาร ส.อ.ท.บางราย ระบุว่า ค่าแร่งขั้นต่ำเพิ่งปรับไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ยังไม่ถึงปี ไม่ใช่เราไม่ได้ปรับมานานแล้ว (นายพิธาให้สัมภาษณ์ว่าครั้งก่อนที่ปรับคือยุคยิ่งลักษณ์) เป็นปัจจัยที่เราต้องพิจารณา เพราะเพิ่งปรับมา และก็ปรับทุกๆ 2-3 ปี บางครั้งปรับทุกปีด้วยซ้ำไปเราควรจะกลับไปดูปัจจัยทางเศรษฐกิจ ถ้าปรัชญาที่ว่า ถ้านายจ้างอยู่ไม่ได้ คนงานก็อยู่ไม่ได้ คนงานอยู่ไม่ได้ นายจ้างก็อยู่ไม่ได้ ตนไม่อยากเห็นภาพอย่างนี้เกิดขึ้น ที่นายจ้างอยู่ไม่ได้ คนงานก็อยู่ไม่ได้
ผู้บริหารของ ส.อ.ท. ระบุด้วยว่า แนวทางการที่จะจ่ายค่าจ้างให้ตามฝีมือ และตามความสามารถของแรงงาน เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะลูกจ้างได้เงินมากขึ้น ส่วนนายจ้างก็ได้งานมากขึ้น อีกทั้ง ยังได้ถามนายพิธาตรงๆด้วยว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่ามาตรฐานฝีมือแรงงานของกระทรวงแรงงาน มีทั้งหมด 18 อุตสาหกรรม ทั้งหมด 126 อาชีพ และค่าแรงมีตั้งแต่ 650 ถึง 900 บาท อันนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรจะส่งเสริม ให้ใช้แรงงานที่มีฝีมือ”
ผู้บริหารของ ส.อ.ท.อีกคน แสดงความกังวลถึงนโยบายขยายสิทธิลาคลอด 180 วัน และแรงงานในระบบประกันสังคมที่มีผู้ว่าจ้าง จะได้รับค่าตอบแทนทั้ง 180 วันโดยตัวแทนภาคอุตสาหกรรมแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เราพูดว่าจะอัปสกิลหรือรีสกิล มันคงเป็นไปไม่ได้กับคนงานที่เขาลาคลอดไปเกือบปี แล้วจะมีสกิลกลับมาทำงานกับเราได้ เราลองนึกถึงภาพวิสาหกิจขนาดย่อย หรือไมโคร ที่เขามีแรงงานไม่เกิน 5 คน หากมีคนลาคลอดไป1 คน ก็จะเหลือแค่ 4 คน แต่ต้องทำงานสำหรับ 5 คน ตนว่าไม่เป็นธรรม เอสเอ็มอีก็เช่นเดียวกัน
ทั้งหมด ปรากฏคลิปวีดีโอการทักท้วง ซักถาม
ซึ่งปรากฏว่าบางช่วง นายพิธามีสีหน้าเจื่อนๆ
ไม่เหมือนกับที่สื่อบางสำนักนำเสนอ “สรรเสริญเยินยอพิธาแบบสุดลิ่ม”
2. นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสหกรรมแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่า ระหว่างพบปะหารือกับแคนดิเดตนายก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หน.ก้าวไกล ภาคอุตสาหกรรมได้แสดงความกังวลกับนโยบายที่จะปรับค่าแรงรายวันขึ้นเป็น 450 บาทภายในหนึ่งร้อยวัน โดยไม่พิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพราะจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อแรงงานภาคอุตสหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และอุตสาหกรรมขนาดเล็ก SME ทั้งหลาย ถึงขั้นอุตสาหกรรมขนาดเล็กเหล่านี้อาจ “เละแน่” หากก้าวไกล้เดินหน้าตามนโยบายที่หาเสียงไว้
สภาอุตฯ เรียกร้องให้มีการทบทวนในเรื่องนี้ให้มองให้รอบคอบทั้งสองด้าน ก่อนเกิดวิกฤตใหญ่ต่อผู้ประกอบการจากนโยบายดังกล่าว ที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
“...การพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงมีการใช้กลไกสำคัญ คือ ไตรภาคี ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้เสียสามส่วน หนึ่งทางรัฐบาล ที่สองนายจ้างและที่สามลูกจ้าง ในแต่ละจว.ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะ นายจ้างและลูกจ้างในจังหวัดนั้นก็จะมาคุยกัน โดยใช้เกณฑ์ในเรื่องของค่าครองชีพเงินเฟ้อ ความต้องการใช้แรงงานในแต่ละจว.ที่แตกต่างกัน ตัวนี้จะเป็นตัวที่แตกต่างกัน นำมาเป็นสูตรคิดคำนวณ..
...เมื่อได้รับการตกลงทุกฝ่ายก็แฮบปี้ นายจ้างก็พออยู่ได้ ลูกจ้างก็แฮบปี้ รัฐก็เป็นกรรมการฝ่ายเคาะ เคาะเสร็จก็นำเสนอเข้าส่วนกลาง แล้วประกาศใช้ เพราะฉะนั้นในแต่ละจังหวัดก็จะดูจากดีมานด์ซัพพลาย แต่ว่าการขึ้นเลยนี่ จากอัตราปัจจุบัน 300 กว่าบาท เป็น 450 บาทนี่มันกระโดดทีเดียว 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ มันเป็นเรื่องที่ขึ้นเร็วเกินไป...
...ผมคิดว่าการขึ้นใน 100 วัน เป็นการกระชากใช้ยาแรง ฝั่งที่เป็นผู้ใช้แรงงาน เราก็เข้าใจนะครับเหตุผลก็คือค่าครองชีพสูงกว่ารายได้ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ไม่พอใช้ไม่พอกิน ประกอบกับประเทศไทยเรา ติดปัญหาที่เป็นกับดักใหญ่คือหนี้ภาคครัวเรือน เคยแตะที่ 90% ซึ่งสูงมาก อันนี้เป็นระเบิดเวลาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้น เขาจึงจำเป็นต้องปรับฐานรายได้ ให้เพียงพอกับการที่จะจ่ายหนี้ได้กับค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นและเหลือเงินเก็บสักนิดนึง เพื่อให้หลุดจากวงจรนี้ อันนี้คือภาพที่เราเห็น แต่ว่าเรากำลังพูดว่าการขึ้นแบบนั้น ผู้ประกอบการต้องผจญกับปัญหาต้นทุนสูงในทุกด้านที่เป็นวัตถุดิบทุกอย่าง เราเจอค่าไฟไปแล้ว ที่เป็นต้นทุนใหญ่ แพงมาก มาเจอค่าแรงขั้นต่ำที่ขึ้นทันที ผมคิดว่าผู้ที่จะกระทบหนักคืออุตสหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ไม่ว่าอุตสหกรรมด้านการเกษตร หรือด้านการแปรรูปทั้งหลาย แปรรูปอาหารทะเลทั้งหลาย พวกนี้เป็นต้นทุนใหญ่ของเขา เพราะในการที่มาร์จินมันบางอยู่แล้ว เจอต้นทุนใหญ่แบบนี้เขาไปไม่ได้...”
3. ในมุมสถาบันวิเคราะห์วิจัยอย่าง KSecurities ระบุชัดเจนว่า
นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน คาดจะกระทบต่อการตัดสินใจจ้างงาน การลงทุน รวมถึงเม็ดเงิน FDI โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ
กลุ่มที่ใช้แรงงานเยอะ และอิงค่าแรงขั้นต่ำเป็นหลัก เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, โรงงานผลิตอาหารแปรรูป,สิ่งทอ, รับเหมาก่อสร้าง, ค้าปลีก เป็นต้น
กลุ่มนิคมฯ อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติด้วย
4. ข้อมูลข้อเท็จจริง ปรากฏว่า ปลายปีที่แล้วเพิ่งมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริงๆ
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65 เป็นต้นไป
1.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 354 บาทต่อวัน มี 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
2.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 353 บาทต่อวัน มี 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
3.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 345 บาทต่อวัน ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา
4.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 343 บาทต่อวัน ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
5.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 340 บาทต่อวัน มี 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา ปราจีนบุรี พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
6.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 338 บาทต่อวัน มี 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
7.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 335 บาทต่อวัน มี 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง และอุตรดิตถ์
8.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 332 บาทต่อวัน มี 22 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุทัยธานี
9.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 328 บาทต่อวัน มี 5 จังหวัด จังหวัดนราธิวาส น่าน ปัตตานี ยะลา และอุดรธานี
เพราะฉะนั้น ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ภายใน 100 วัน ก็จะเป็นการกระชากแรง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคการผลิตจริงรุนแรงแน่นอน
5. ข้อมูลข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่า หากปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทจริง จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยพุ่งทะยาน ทิ้งห่างค่าแรงในประเทศเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านไปอีกไกลมาก
นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ASIAN หรือ บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอาหารแช่เยือกแข็ง และอาหารสัตว์น้ำ และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Shelf stable food) ประกาศเตรียมพร้อมลงทุนในประเทศเวียดนามหรือฟิลิปปินส์ เพื่อขยายโรงงานเพิ่มกำลังผลิต หรืออาจถึงขั้นเตรียมย้ายฐาน หากรัฐบาลใหม่นำนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวันมาใช้จริง
นายสมศักดิ์ ระบุว่า คาดว่าการปรับขึ้นค่าแรง จะกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั้งระบบ และยังเปิดทางให้ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มีความน่าสนใจกับนักลงทุนมากกว่า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรวัยทำงานมาก และมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานคุ้มค่ากว่าประเทศไทย ตนก็อาจต้องยอมเอา Know-how เอาเงินทุนไปลง เพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ในระยะยาว
สุดท้าย... นับตั้งแต่วันเลือกตั้งเป็นต้นมา
ปรากฏว่า ตลาดหุ้นไทย ถูกต่างชาติเทขายทุกวัน มูลค่าขายสุทธิมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ ถูกต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท
เสียงตอบรับต่อว่าที่ รมว.คลังของพรรคก้าวไกล น่ากังวลมาก ถึงมากที่สุด
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี