ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม และได้ต่อสู้กับอริราชศัตรู เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินนี้ให้ธำรงอยู่ มีอิสรภาพ เพื่อให้ประชาชนที่เกิดบนแผ่นดินผืนนี้หรือที่มาอาศัยอยู่ ได้มีชีวิตที่เป็นสุขมีเสรีภาพในการดำรงชีวิตโดยตลอดมา
การต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ในอดีตนั้น ได้แสดงถึงความกล้าหาญและเสียสละเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแม้แต่จะต้องพลีชีพก็ยอมได้ และการต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินนี้ที่ถือว่าเป็นตัวอย่างของความกล้าหาญอย่างที่สุดคงจะไม่มีเรื่องใดเทียบเท่ากับการกระทำยุทธหัตถี คือการนำทัพเข้าต่อสู้ศัตรูด้วยพระองค์เองบนหลังช้างพาหนะ โดยการใช้อาวุธด้ามยาวที่เรียกกันว่าของ้าวในการต่อสู้
การกระทำยุทธหัตถีหรือการต่อสู้บนหลังช้างนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานใดที่แสดงว่าชนชาติอื่นนอกเหนือจากไทย พม่า ลาว และขอม ได้นำมาใช้ แม้แต่ในประเทศอินเดีย ซึ่งมีช้างอยู่เป็นจำนวนมากในอดีต ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของการต่อสู้แบบนี้
การกระทำยุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ของชาติไทยเรา ได้ยกทัพเพื่อออกไปต่อสู้กับศัตรูผู้ยกทัพมารุกรานที่เมืองตาก ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ในการกระทำศึกครั้งนั้น พ่อขุนรามคำแหงซึ่งยังไม่มีพระนามชัดเจน ได้ทรงช้างติดตามพระราชบิดาเพื่อออกรบด้วย ทั้งๆ ที่มีพระชนมายุเพียง 19 พรรษาเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงความกล้าหาญและการเดินตามรอยพระบาทพระราชบิดาในการปกปักรักษาแผ่นดินนี้
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ กรีธาทัพเข้าถึงชายเมืองตาก ก็ได้เข้าปะทะกับกองทัพของขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้อำเภอแม่สอด จังหวัดตากในปัจจุบันนี้ และได้เข้ากระทำยุทธหัตถีต่อกัน การต่อสู้บนหลังช้างในครั้งนั้นดูเหมือนว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์อาจจะเสียที พ่อขุนรามคำแหง ซึ่งตามเสด็จมาอย่างใกล้ชิด จึงไสช้างพระที่นั่งชื่อพรายเบกพล เข้าขวางช้างของพ่อขุนสามชน ที่มีชื่อว่าพรายมาสเมือง และกระทำยุทธหัตถีแทน ซึ่งในที่สุดพ่อขุนรามคำแหงก็มีชัยชนะต่อพ่อขุนสามชนได้ พ่อขุนสามชนยกทัพหนีกลับไป ทำให้อาณาจักรสุโขทัยยังครอบครองเมืองตากไว้ได้โดยตลอดมา
ก็จะเห็นว่าการกระทำยุทธหัตถีนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อหรือแม้แต่ชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการปกปักรักษาชาติไว้ให้ได้ ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ยุทธหัตถีครั้งนั้นแล้ว ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก 2-3 ครั้งในสมัยอาณาจักรอยุธยา
หลังยกทัพกลับจากการศึกครั้งนั้น พ่อขุนรามคำแหงจึงได้รับการสถาปนาพระนามว่าพระรามคำแหง ซึ่งคำว่า“ราม” นั้น ในบางความหมายแปลว่ากลางหรือเล็ก ส่วนคำว่า“คำแหง” มีความหมายว่าผู้กล้าแข็งหรือเก่งกาจ ซึ่งในขณะนั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา คำว่าพระรามคำแหง จึงหมายความว่า หนุ่มน้อยผู้มีความเก่งกล้าสามารถเป็นเลิศ หรืออาจหมายถึงลูกคนกลางหรือ ลูกชายคนเล็กที่เก่งกล้าสามารถเป็นเลิศ และเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 ของอาณาจักรสุโขทัย จึงมีพระนามว่าพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งคำว่าขุนนั้นใช้สำหรับผู้ที่ขึ้นเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองแผ่นดิน ต่อมารัฐบาลไทยเห็นสมควรให้การยกย่องเทิดทูนพระองค์ท่าน จึงมีการพระราชทานคำว่า “มหาราช” ให้กับพระองค์ท่าน นับเป็นมหาราชองค์ที่ 1 ของชาติไทย เพื่อให้พระบารมีเป็นที่ประจักษ์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่กตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ คือพ่อ แม่ พี่ชาย อันได้แก่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นางเสือง และพ่อขุนบานเมือง ดังที่ปรากฏบนศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า
“เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้ห่วง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดังบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม”
นับเป็นตัวอย่างของความกตัญญูรู้คุณ ที่ไม่ว่าใครผู้ใด ก็ควรจะกระทำให้แก่พ่อ แม่หรือพี่น้อง อันเป็นการสืบสานความดีงามแห่งความเป็นมนุษย์
นอกจากพระปรีชาสามารถในการสงคราม ดังตัวอย่างของการกระทำยุทธหัตถีกับพ่อคุณสามชนและมีชัยชนะ จนทำให้พระบารมีเป็นที่ประจักษ์ และพระองค์สามารถขยายอาณาเขตกรุงสุโขทัยได้อย่างกว้างขวาง โดยทางทิศเหนือขึ้นไปถึงพิจิตร พิษณุโลก ทิศตะวันออกไปถึงน่านและข้ามไปถึงหลวงพระบาง ทิศตะวันตกไปถึงแม่สอดและรวมถึงหงสาวดี ส่วนทิศใต้ไปถึงนครศรีธรรมราช
ยังมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งคือ การประดิษฐ์อักษรไทย ในปีพุทธศักราช 1826 ทำให้ไทยเป็นชาติที่มีภาษาของตนเองมาตั้งแต่นั้น การทำให้พระพุทธศาสนาเจริญเติบโต เป็นรากฐานยึดเหนี่ยวทางจิตใจแก่ประชาชน มีการสร้างวัดวาอารามจำนวนมาก การปกครอง ซึ่งมีการแบ่งหัวเมืองเป็นระดับต่างๆ ส่วนในกรุงสุโขทัยเองนั้น ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลราษฎรอย่างใกล้ชิดดังพ่อปกครองลูก ผู้ใดมีความเดือดร้อนก็ให้มาสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูพระราชวัง ซึ่งพระองค์ก็จะออกมารับฟังคำร้องทุกข์ การเกษตรและการพาณิชย์ ก็มีความรุ่งเรืองมาก ดังในหลักศิลาจารึกที่กล่าวว่า “เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” รวมทั้งในกระบวนการความยุติธรรม มีการออกกฎหมายว่าด้วยมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน กฎหมายว่าด้วยสิทธิในที่ดิน กฎหมายการเก็บภาษี กฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในการค้าขาย ดังในหลักศิลาจารึกว่า “เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติของตุลาการ ที่จะต้องไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และยังรวมทั้งขยายการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น จีน มอญ ศรีลังกา เป็นต้น
ประวัติศาสตร์ของชาติ จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง การรู้ประวัติศาสตร์ คือการรู้จักรากเหง้าของตัวเอง เปรียบเสมือนต้นไม้ยืนต้น ต้องมีรากแก้ว จึงยากที่จะโค่นล้มได้ การส่งเสริมการศึกษาประวัติศาสตร์จึงจำเป็นอย่างยิ่งแก่เยาวชนของชาติ เพื่อไม่ให้เติบโตขึ้นโดยปราศจากความรู้ ซึ่งเป็นรากที่สำคัญต่อความภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติไทย การขาดรากนี้ก็เหมือนไม้ล้มลุก ที่เมื่อไม่มีรากแก้ว ก็ย่อมล้มลงโดยง่าย ไม่อาจต้านกระแสลมใดๆ ได้
ใครผู้ใด ที่คิดล้างสมองเด็กหรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ ไม่ให้รู้จักรากเหง้าของตัวเอง หรือบ่มเพาะความรู้ผิดๆ ให้กับเด็กๆ ที่จะเป็นอนาคตของชาติ จึงถือว่าเป็นผู้ที่ทำร้ายได้แม้แต่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
พวกเราที่เป็นคนไทย และรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์จึงต้องร่วมกันต่อสู้ เพื่อผดุงความเป็นชาติ ศาสน์กษัตริย์ ของเราให้คงอยู่ชั่วกาลนาน และจะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเป็นอันขาด
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี