กรณี น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด ผู้ต้องหาคดี 112 และว่าที่ สส.พรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี โจมตีด่าทอศาลยุติธรรมด้วยถ้อยคำรุนแรง
สืบเนื่องจากขอเลื่อนคดีไม่ได้ ขอพบผู้บริหารศาลไม่ได้ ขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาไม่สำเร็จ
และยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เพื่อให้ตรวจสอบวินัยผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวหาว่าเร่งรัดคดีอาญา มาตรา 112 ที่ น.ส.ชลธิชา ตกเป็นจำเลย โดยมีการเลื่อนนัดสืบพยาน ไม่มีทนายความจำเลยร่วมฟังการสืบพยานโจทก์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2566
นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ สรุปได้ว่า
1. คดีนี้ แต่เดิมมีการกำหนดนัดสืบพยานไว้เป็นช่วงเดือนมีนาคม 2567 แต่ตอนหลังมีเรื่องของการกำหนดกรอบ ระยะเวลาในกระบวนการยุติธรรม โดยมีระเบียบของประธานศาลฎีกา ออกมาว่า คดีประเภทคดีอาญาสามัญ ควรจะพิจารณาคดีแล้วเสร็จตั้งแต่วันรับฟ้อง ซึ่งศาลอาญา เห็นว่า ระยะเวลา ที่มีการนัดสืบพยานในช่วงเดือนมีนาคม 2567 น่าจะเป็นระยะเวลาที่ยาวเกินไป เลยกรอบไปนาน จึงมีการปรับปรุงวันนัดใหม่ให้กระชั้นขึ้น หรือเร็วขึ้น เพื่อไม่ให้เกินกรอบ ระยะเวลานานเกินไป
น่าสังเกตว่า การกระทำอันเป็นเหตุแห่งความผิดในคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563
คือ 3 ปีที่แล้ว
2. เมื่อกำหนดวันนัดใหม่ ก็เลยมีประเด็นที่จำเลยโต้แย้งวันนัดว่า ในวันที่ 1-2 มิ.ย. 2566 จำเลยไม่ว่าง เพราะทนายติดว่าความคดีที่ศาลอื่น จึงขอเลื่อนการสืบพยาน ในวันดังกล่าว
แต่องค์คณะผู้พิพากษา เจ้าของสำนวนคดีนี้ พิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีนี้ จำเลยมีทนาย 2 คน คือ นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม และนายกฤษฎางค์ นุตจรัส โดยคนที่แถลงเลื่อน ว่าติดว่าความที่ศาลอื่น คือทนายนรเศรษฐ์ ส่วนทนายกฤษฎางค์ ไม่ได้ปรากฏว่า ติดคดีอะไร เพราะฉะนั้นโดยปกติ เมื่อมีทนาย 2 คนแบบนี้ หากคนหนึ่ง ติดว่าความคดีอื่น แต่อีกคนไม่ติดคดีอะไร ก็สามารถที่จะทำหน้าที่ได้
องค์คณะผู้พิพากษา จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และมีการสืบพยานไป
น่าสังเกตว่า ถ้าจะแจ้งว่าทนายความติดคดีอื่น ก็จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าคดีอะไร ที่ศาลไหน จะตรวจสอบยืนยันได้ชัดเจน ไม่ใช่อ้างลอยๆ ว่าติดคดี
3. ประเด็นที่ น.ส.ชลธิชา ระบุว่า ในการสืบพยานจำเลย เมื่อวันที่1 มิ.ย.2566 ไม่มีทนายจำเลยร่วมรับฟังการสืบพยานภายในห้องพิจารณาคดี
โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย กำหนดว่า ต้องมีการสืบพยานต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องสืบพยานต่อหน้าทนายจำเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของกระบวนพิจารณา การที่กฎหมายกำหนดคือเรื่องของจำเลยเป็นหลัก แต่สิทธิ์ในการที่จะต่อสู้คดีในการถามค้านตรงนี้ ก็มี 2 ส่วน คือ ประเด็นแรก ทางศาลถามตัวจำเลยว่าจะซักถามพยานในเชิงถามค้านเองหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ไม่ใช้สิทธิ์ ทั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของตัวความ ไม่ว่าจะเป็นโจทก์ หรือ จำเลย ก็มีสิทธิ์ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาได้เองอยู่แล้ว เพราะทนายก็เป็นตัวแทนของตัวความ ก็คือโจทก์ จำเลย เพราะฉะนั้น สิทธิ์ในการถาม ก็เป็นสิทธิ์ในตัวความอยู่แล้ว
โฆษกศาลฯ ยังกล่าวด้วยว่า ในการสืบพยานโจทก์ มีการอัดเทป หรือ วีดีโอ ไว้ด้วย ซึ่งศาลก็ได้มีการถามเหมือนกันว่า หากทนายจำเลย ไม่ว่างในวันดังกล่าว ก็สามารถไปศึกษาจากวีดีโอ ที่บันทึกไว้ เพื่อขอถามค้านในวันอื่นได้ แต่ปรากฏว่า น.ส.ชลธิชา ก็โต้แย้งมาโดยตลอดว่า กระบวนการพิจารณาไม่ชอบ จึงแจ้งต่อศาลว่า ไม่ประสงค์ที่จะใช้สิทธิ์ตรงนี้
4. ประเด็นการยื่นหนังสือถึง ก.ต.เพื่อขอให้ตรวจสอบการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษา
โฆษกศาลฯ ชี้แจงว่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และถือเป็นเรื่องปกติ ที่ว่า หากคู่ความคนใดเห็นว่า ตนเองอาจจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม ก็ยื่นเรื่องให้พิจารณาได้อยู่แล้ว แต่ว่าสุดท้ายการพิจารณาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้น
5. ล่าสุด ลูกเกดยังโพสต์เฟซบุ๊กโจมตีศาลยุติธรรม
โดยระบุว่า “ศาลเป็นคนทำลายหลักการสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมและสิทธิในการมีทนายความเสียเอง”
ปรากฏว่า มีคนมาแสดงความเห็นใต้คอมเม้นท์ด้วยว่า
“จริงแล้วน้องเกดทราบอยู่แล้วตั้งแต่กรกฎาคม 65 ว่าจะมีการสืบพยานในวันนี้ ถ้าเอาที่จริงแล้ว เราสามารถแจ้งทนายได้หรือหาทนายใหม่ก็ได้
หรือสุดท้ายแล้วไม่ยินยอมก็คัดค้านคำสั่งศาลในช่วงที่ศาลชั้นต้นตัดสินให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการพิจารณาว่าไม่ชอบ
จริงๆแล้วลึกๆแล้วน้องเกดอยากจะหาเรื่องงัดข้อกับศาลมากกว่า”
6. ถ้าย้อนกลับไปดูการโพสต์เฟซบุ๊กของลูกเกด ตั้งแต่วันก่อนวันนัด เธอก็ยังโพสต์ท้าทายกับฝ่ายผู้แจ้งความ ทำนองว่า พร้อมมาเจอกันที่ศาล
แต่พอถึงวันนัดจริงๆ ปรากฏว่า ที่ว่าพร้อมนั้น คืออะไร?
คือพร้อมที่จะไปขอเลื่อนนัด โดยอ้างว่าทนายติดคดีอื่น อย่างนั้นหรือ!!!
7. น่าสังเกตว่า คดีนี้ ถ้าล่าช้าไปถึงปีหน้า จำเลยก็อาจจะได้อภิสิทธิ์ในฐานะ สส. พรรคก้าวไกล
มีเอกสิทธิ์คุ้มกันในฐานะ สส.
ขณะที่พรรคก้าวไกล มีนโยบายแก้มาตรา 112 และนิรโทษกรรมคดี 112 ด้วย
8. มูลเหตุที่มาของคดี 112 คดีนี้ คือ การนำเสนอเอกสารที่อ้างว่าเป็นการเขียนจดหมายถึงพระมหากษัตริย์ เปิดเผยต่อสาธารณะ
แต่เนื้อหาจริงๆ คือ การเคลื่อนไหวทางการเมือง มุ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสื่อเนื้อความที่บิดเบือน ทำให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดต่อบทบาทของพระมหากษัตริย์
เสมือนเจตนาดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองในข้อเรียกร้องของพวกตน หาใช่การเขียนจดหมายหรือถวายฎีกาตามปกติทั่วไป
ถือเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนือจารีตการถวายฎีกาที่เป็นธรรมเนียมการปกครองโดยปกตินั่นเอง
และขณะนั้น ม็อบสามนิ้วนำเสนอเรื่องการปฏิรูปฯ โดยแท้จริงเป็นการล้มล้างฯ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี