วันนี้เสนอพฤติกรรมการกระทำของผู้นำในภูมิภาคนี้ที่กำลังเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้ก็เห็นจะมีเพียงประเทศไทยกับกัมพูชา ในประเทศไทย นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ กำลังหาเสียงสนับสนุนจาก สว.ในรัฐสภาให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ส่วนในกัมพูชา สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน กำลังหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีปีที่ 40 ต่อไปหรือไม่ ก็เตรียมการให้ลูกชาย พลเอกฮุน มาเนต ขึ้นเป็นทายาททางการเมือง ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของกัมพูชาในรอบสี่สิบปี
ในประเทศกัมพูชา นายฮุนเซน ถูกตะวันตกตราหน้าว่า เป็นผู้นำเผด็จการอำนาจนิยมที่ปราบปรามฝ่ายต่อต้านและสื่อมวลชนตลอดถึงภาคประชาสังคม เอ็นจีโอที่รับเงินจากต่างประเทศมาทำลายความมั่นคงภายในจนฝรั่งไม่กล้าหือ
ในประเทศไทย นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับการยกย่องจากสื่อตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาว่าเป็นผู้นำเสรีประชาธิปไตย แต่หากพิเคราะห์ด้วยความเป็นจริง นายพิธาน่าจะเรียกว่าผู้นำเสรีนิยม “สมเสร็จ” มากกว่า เพราะเหตุว่านายพิธาและพรรคก้าวไกล ได้นำทฤษฎีเสรีประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา มาประสมประสานเข้ากับทฤษฎีปฏิวัติฝรั่งเศสและปฏิวัติวัฒนธรรมจีน ในปี 2509 ถึงปี 2519 ตลอดถึงการปฏิวัติบอลเชวิคในสหภาพโซเวียต ก็มาผสมปนเปเข้ากันเป็นทฤษฎีเสรีนิยมฉบับอนาคตใหม่
เป็นเหตุให้สาวกทฤษฎีและอุดมการณ์ “สมเสร็จ”ที่ว่านี้สับสนกลายเป็นคนรุ่นใหม่ไม่สมประกอบตั้งตนเป็น กลุ่มทะลุวัง ทะลุฟ้า ทะลุเพดาน ทะลุดินแดง ขึ้นมาซึ่งไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะกุมอำนาจรัฐ จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เป็นสาธารณรัฐ เป้าหมายก่อกวนสร้างภาพไปวันๆ หรือมีเป้าหมายล้มล้างสถาบันสูงสุดของไทย
ดังนั้น หากเปรียบวิสัยทัศน์ระหว่าง นายพิธา กับฮุนเซน ทั้งเรื่องกิจการในประเทศเรื่องระดับภูมิภาคและระดับโลก แล้วจะพบว่า ฮุนเซนกับนายพิธา มีวิสัยทัศน์ห่างไกลกันมาก
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุย เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศแทบทุกสำนักรวมทั้ง CNA (China Central News Agency) เสนอข่าวพาดหัวตัวใหญ่ เรื่อง นายฮุนเซนเตือนนายเซเลนสกีประธานาธิบดียูเครนว่า
“อย่าได้นำคลัสเตอร์บอมบ์ที่สหรัฐอเมริกามอบให้ไปใช้ในดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองเป็นอันขาด หากนำคลัสเตอร์บอมบ์ไปใช้มันจะนำความหายนะมาสู่ชาวยูเครนเอง คลัสเตอร์บอมบ์จะทำให้คนยูเครนบาดเจ็บล้มตายในทันที และจะบาดเจ็บล้มตายจากคลัสเตอร์บอมบ์ต่อเนื่องยาวนานไปเป็นร้อยปี
นายฮุนเซน ให้รายละเอียดกับสื่อต่างประเทศว่า “สหรัฐอเมริกาทิ้งคลัสเตอร์บอมบ์ใส่ประเทศกัมพูชานับล้านชุดในยุคสงครามอินโดจีน ซึ่งทำให้ชาวกัมพูชาบาดเจ็บล้มตายทันทีหลายพันคน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น ลูกระเบิดติดในพวงที่ยังไม่แตกหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินกัมพูชานับแสนลูกที่ยังเก็บกู้ไม่หมดมันทำให้ชาวกัมพูชาบาดเจ็บ ล้มตายมาจนวันนี้ กว่าห้าสิบปีแล้วยังเก็บกู้ไม่หมดหากนายเซเลนสกี้นำคลัสเตอร์บอมบ์ไปใช้ในดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดครองผลร้ายจะตกแก่ชาวยูเครนต่อไปนานเป็นร้อยปี..”
นั่นคือวิสัยทัศน์ของนายฮุนเซน ที่แสดงออกแล้วสื่อต่างประเทศนำไปใช้ โดยไม่ต้องใช้เงินจ้างไม่ต้องวิ่งเต้นเข้าหาผู้สื่อข่าว
คลัสเตอร์บอมบ์หรือระเบิดพวงที่บรรจุลูกระเบิดขนาดเล็กๆ ไว้ภายในจำนวนมาก การใช้ทำได้หลายวิธี คือสามารถทิ้งลงจากเครื่องบิน ยิงจากขีปนาวุธ หรือ ยิงโดยปืนใหญ่จากพื้นดินสู่พื้นที่เป้าหมายก็ได้ โดยคลัสเตอร์บอมบ์จะระเบิดกลางอากาศเพื่อปล่อยลูกระเบิดย่อยให้กระจายเป็นวงกว้างซึ่งสหประชาชาติ สั่งห้ามใช้และอย่างน้อยร้อยยี่สิบประเทศปฏิบัติตามข้อห้ามของยูเอ็น
ข่าวสหรัฐส่งมอบระเบิดพวงให้ยูเครนใช้ในสงครามกับรัสเซีย เป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์ที่นายฮุนเซนยกขึ้นสร้างกระแสระหว่างการหาเสียง
ในเวลาเดียวนายพิธา ผู้สนับสนุนให้อเมริกาและกลุ่มนาโตเร่งส่งอาวุธให้ยูเครนรบกับรัสเซียต่อไปไม่ได้พูดถึงคลัสเตอร์บอมบ์อาวุธต้องห้ามที่กว่า 120 ประเทศปฏิบัติตามยูเอ็นแต่ข่าวสร้างกระแสของนายพิธาขณะที่ชาวโลกกำลังวิจารณ์เรื่องคลัสเตอร์บอมบ์ กลายเป็นว่านายพิธาเห็นว่าการโหนกระแสนักร้องดังอเมริกาสำคัญกว่านายพิธาถึงกับทวีตถึง เทย์เลอร์ สวิฟต์ เชิญชวนให้เธอมาเปิดแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย โดยอ้างว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว หลังจากเขาชนะเลือกตั้ง ทวีตเตอร์นายพิธาถูกวิจารณ์จากสื่อต่างประเทศและคนไทยทั่วไป
สื่อต่างประเทศรายงานว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ เลือกแสดงคอนเสิร์ตในสิงคโปร์ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเพรียง ในประเทศฟิลิปปินส์ สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ดีพอ ส่วนในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียผู้นำอนุรักษ์นิยมยังเคร่งครัดเรื่องรักร่วมเพศของคนเพศเดียวกัน สื่อต่างประเทศเขียนถึงประเทศไทย แต่เพียงว่านายพิธาเชิญเทย์เลอร์ สวิฟต์ มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยอ้างว่าบัดนี้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว
ข่าวระดับโลกเรื่องอเมริกาส่งคลัสเตอร์บอมบ์ อาวุธต้องห้ามให้ยูเครนกับข่าวทัวร์เอเชียของเทย์เลอร์ สวิฟต์ แสดงให้เห็นความแตกต่างด้านวิสัยทัศน์ของคนที่เรียกตัวเองว่าเสรีประชาธิปไตยกับคนที่ถูกตราหน้าว่า เป็นเผด็จการอำนาจนิยม
ต่อไปว่ากันเรื่องสถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียนนายพิธาสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในปัญหาทะเลจีนใต้ ส่วนนายฮุนเซนสนับสนุนให้แก้ปัญหาทะเลจีนใต้โดยให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อกำหนดของอาเซียน (Asean Code of Conducts) และเมื่อประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนปีนี้เสนอให้มีการซ้อมรบทางเรือของอาเซียนในทะเลจีนใต้ในเดือนกันยายน
กัมพูชากับสหภาพเมียนมา ตอบกลับทันทีว่าจะไม่เข้าร่วมการซ้อมทางเรือในทะเลจีนใต้ เกรงว่าจีนแผ่นดินใหญ่จะเข้าใจผิด
ส่วนประเด็นวิกฤตการเมืองในสหภาพเมียนมา นายพิธาสนับสนุนให้เกิดสงครามกลางเมืองในเมียนมา ตามแผนการร้ายของอเมริกาและอาเซียนบางประเทศที่กีดกันรัฐบาลทหารพม่าผู้กุมอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไม่ให้ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ในขณะที่ นายฮุนเซน พยายามผลักดันให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำรัฐบาลทหารพม่า โดยกล่าวขณะที่กัมพูชาเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนว่า“ผู้นำประเทศสมาชิกทุกคนต้องได้เข้าประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หากไม่ประชุมกับผู้นำแล้วผมจะประชุมกับใคร” ในห้วงเวลาสามปี มีแต่นายฮุนเซน ประธานหมุนเวียนอาเซียนเพียงคนเดียวที่เดินทางไปเยือนพม่าและได้พบปะหารือกับพลเอก มิน อ่อง หล่าย ในฐานะผู้นำอาเซียน ในขณะที่บรูไนโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซียมีท่าทีเหมือนกับนายพิธาที่คว่ำบาตรกดดันผู้นำที่ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในประเทศเมียนมา
นอกจากนั้นนายพิธายังสนับสนุนรัฐบาลเงาพม่าและกลุ่มกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า จนพลเอกโซ วิน รอง ผบ.สส.พม่า เตือนประชาชนว่าให้ “ระวังพรรคก้าวไกลจะสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในพม่า..”
พูดถึงประเด็นภูมิภาคและระดับโลกแล้ว ลองมาดูนโยบายภายในประเทศของผู้นำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการอำนาจนิยมกับผู้นำที่อ้างว่า เป็นเสรีประชาธิปไตยบ้าง นายฮุนเซน ใช้นโยบายชาตินิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยอ้างว่าดินแดนบางส่วนถูกประเทศเพื่อนบ้านแย่งไปต้องพยายามเอาคืนมาให้ได้ ตลอดถึงศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของกัมพูชาถูกเพื่อนลอกเลียนไปใช้และอ้างการเป็นเจ้าของ
ประเด็นการแทรกกิจการภายในโดยมหาอำนาจซึ่งใช้ภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอเป็นผู้แทรกแซงบ่อนทำลายความมั่นคงภายใน นายฮุนเซน จัดการขั้นเด็ดขาดกับเอ็นจีโอ ที่แทรกแซงทำลายความมั่นคงภายใน โดยการไล่ออกจากประเทศหรือไม่ก็ตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างเข้มงวด
ขณะที่ในประเทศไทย นักการเมืองฝ่ายก้าวหน้าอย่างพรรคก้าวไกลนำโดยนายพิธาสมคบกับภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอที่รับเงินรับงานมาจากต่างประเทศปลุกระดมยุยงส่งเสริมให้สามจังหวัดภาคใต้เป็นเอกราชอิสระจากรัฐบาลกลางที่พวกเขาเรียกว่ารัฐไทย
พรรคก้าวไกลรณรงค์ให้วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบขุดรากถอนโคนตลอดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ พรรคก้าวไกลนำโดย นายพิธาเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปสถาบันครั้งใหญ่แม้แต่กฎหมายปกป้องสถาบันก็ต้องมีการแก้ไข วันชาติ ซึ่งตรงกับวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 9 คือ วันที่ 5 ธันวาคม พรรคก้าวไกล ต้องการให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 24 มิถุนายนซึ่งเป็นวันที่ คณะราษฎร ปล้นพระราชอำนาจ พระราชทรัพย์จากในหลวง รัชกาลที่ 7
เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ผู้ที่อ้างว่าเป็นเสรีประชาธิปไตยกับผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นเผด็จการอำนาจนิยมมีทัศนวิสัยแตกต่างกันอย่างไรและนายพิธาสมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยหรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี