สำนักข่าว CNA ทำรายงานพิเศษเรื่อง จีนจีบประเทศอาเซียน เสนอลงทุนในอภิมหาโครงการด้วยเงินทุนมหาศาลในประเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา และเวียดนาม เป็นที่น่าสนใจ รายงานพิเศษชิ้นนี้ถึงไม่เอ่ยถึงประเทศไทยแม้แต่ประโยคเดียว
สาเหตุอะไรที่ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น จีน ฝรั่งเศส อเมริกา บินข้ามหัวประเทศไทยไปเจรจาการค้า การลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกัน อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และ มาเลเซีย เป็นเรื่องน่าประหลาด ที่ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ไม่พูดถึงความร่วมมือเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน กับประเทศไทย
หรือว่าประเทศคู่ค้ารายใหญ่มองว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีรัฐบาลตัวจริง ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีฝึกงาน ที่ไร้วุฒิภาวะ ไร้สติปัญญา ไม่มีความรอบรู้รอบด้านในการบริหารประเทศ นายกรัฐมนตรี ไม่รู้แม้แต่พิธีการทูต มารยาททางการทูตตลอดถึงมารยาทสังคม
เธอจึงปล่อยให้บิดา อดีตนักโทษคอร์รัปชั่น และ ปัจจุบันเป็นจำเลยคดีอาญามาตรา 112 กำกับดูแลสั่งการบริหารประเทศเปิดเผยออกหน้า ท้าทายกฎหมาย ห้ามมิให้คนนอกแทรกแซง ครอบงำ พรรคการเมือง และการบริหารงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ปล่อยให้บิดา ทำตัวเหนือกฎเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ผู้บังคับใช้กฎหมาย กลัวอิทธิพลบารมีพ่อนายกรัฐมนตรี ไม่กล้าบังคับใช้กฎหมาย ราวกับว่าประเทศนี้ไม่มี กกต.หรือ หน่วยงานไหนจัดการกับ สทร. ได้
ที่เลวร้ายคือ บิดานายกฯ ผู้สถาปนาตัวเป็น สทร. เป็นจำเลยที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ในข้อกล่าวหาว่า เป็นนักโทษที่ถูกย้ายจากเรือนจำไปพักในโรงพยาบาลโดยมิชอบหรือไม่ ที่กรมราชทัณฑ์ย้ายนักโทษจากเรือนไปอยู่ห้องพิเศษโรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน ขัดคำสั่งขังของศาลหรือไม่
แม้แพทยสภาแถลงว่า “ไม่มีหลักฐานในเชิงประจักษ์ว่า (ป่วย) วิกฤตจริง” แต่ก็มีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข วีโต้มติแพทยสภาให้ แพทยสภา จึงยังไม่สามารถลงโทษแพทย์ 3 คนได้ จนกว่าลงมติยืนยันการลงโทษแพทย์ทำผิดจรรยาบรรณ การลงมติซ้ำวันที่ 12 มิถุนายน มีกระแสข่าวว่าฝ่ายบริหารกดดันสมาชิกแพทยสภาที่เป็นข้าราชการอย่างหนัก
การวีโต้มติแพทยสภาโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข เป็นที่ประจักษ์ว่า เพื่อลดความน่าเชื่อถือของแพทยสภา เนื่องจากว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนตามคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ฟ้องศาลว่า กรมราชทัณฑ์ย้ายนักโทษจากเรือนจำไปโรงพยาบาลโดยอ้างว่า น.ช.ทักษิณ ป่วยขั้นวิกฤต เมื่อแพทยสภาแถลงว่า “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีภาวะวิกฤตจริง” นายสมศักดิ์จึงต้องวีโต้มติแพทย์ โดยหวังว่าจะช่วย จำเลยได้ระดับหนึ่ง
แต่นายสมศักดิ์ ลืมไปว่าแพทยสภาเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน การแถลงอย่างเป็นทางการของแพทย์จึงเป็นที่น่าเชื่อถือกว่า อดีตนักโทษหนีคุกที่บอกใบ้ให้นายสมศักดิ์วีโต้ ด้วยคำพูดว่า “แพทยสภาไม่มีจริยธรรมเสียเอง”
นายทักษิณ จำเลยที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหมายศาลเรียกให้ไปชี้แจงในวันที่ 13 มิถุนายน พูดในห้องประชุมกระทรวงยุติธรรมที่เขารับเชิญไปเป็นองค์ปาฐกนโยบายปราบปรามยาเสพติด เมื่อ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมอ้างว่านายทักษิณ เป็นที่ปรึกษาประธานหมุนเวียนอาเซียน เป็นผู้มีความรู้รอบด้าน มีประสบการณ์การปราบปรามยาเสพติดได้ผลเป็นที่น่าพอใจในห้วงเวลาที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คงลืมไปว่า องค์ปาฐกในวันนั้นเคยถูกกล่าวหา เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อครั้งเขาประกาศสงครามยาเสพติด ที่ทำให้มีคนตายกว่า 2,500 ราย จากสงครามยาเสพติด ตามบัญชาขององค์ปาฐกวันที่ 27 พฤษภาคม ผลวิจัยศึกษาของอาจารย์คณิต ณ นคร พบว่า ผู้ตายอย่างน้อย 1,730 คน ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ในปี 2546 หลายฝ่ายรวมทั้งองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC ดำเนินคดีกับ นายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร บังเอิญประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคี ICC ทักษิณจึงพูดอย่างอหังการว่า “UN ไม่ใช่พ่อ”
การปาฐกถาวันนั้น ทักษิณแสดงความรอบรู้หลากหลายว่า “ผมรู้ว่าแหล่งผลิตยาเสพติดของว้าอยู่ตรงไหน ผมเป็นคนแก่ที่ยังไม่ตาย มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านจะพูดกับพม่าให้ ถ้าพม่าช่วยไม่ได้ไทยขอจัดการเอง”
นายทักษิณเมื่ออยู่ในตำแหน่ง สทร. อวดรู้ทุกอย่าง แต่ในห้วงเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผู้นำว้า รวมทั้งเลขาธิการ และ ผู้บังคับบัญชาทหารว้า (ใต้) มีบ้านพักอยู่ในอำเภอแม่จัน แม่สาย และอำเภอแม่ริม หรือรู้แต่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะอาจมีอะไรบังตา
นายทักษิณกล่าวระหว่างปาฐกถาด้วยว่า ขออาสาออกสำรวจแหล่งค้ายาเสพติด และผู้เสพยา ทุกหมู่บ้านแล้วนำข้อมูลไปฟ้องรัฐบาล คำพูดของนายทักษิณ ตรงกับคำพังเพยที่ว่า “เมียคบชู้ ผัวรู้คนสุดท้าย” คือสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คนในบ้านติดเสพน้ำแข็งหรือไม่ และไม่รู้ด้วยว่า มือขวาคนปัจจุบัน เคยเป็นพ่อค้าแป้งหรือไม่ จึงเข้าข่าย “เมียคบชู้ ผัวรู้คนสุดท้าย”
ก่อนปาฐกถาให้รัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ฟังวันนั้น นายทักษิณตอบคำถามสื่อมวลชนหลากหลาย เมื่อนักข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ที่แพทยสภามีมติว่า “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า (ป่วย) วิกฤตจริง”
นายทักษิณตอบว่า แพทยสภาต้องมีจริยธรรม แต่นี้แพทยสภาไม่มีจริยธรรมเสียเอง..มีไลน์หลุด..แพทย์บางคนด่าผม...แล้วมีแพทย์คนหนึ่งตอบว่า..Yes” นายทักษิณพูดแล้วหันไปทางนายสมศักดิ์ ก่อนพูดว่า เขารู้กันทั้งนั้นใช่ไหม.? (ว่าแพทย์ไม่มีจริยธรรม) คำพูดเป็นนัยบอกใบ้ให้นายสมศักดิ์วีโต้ ในเวลาเดียวกันก็ด้อยค่าแพทยสภาไปในตัว
คำพูดกำกวมเป็นนัย คือ นิสัยถาวร ของจำเลยที่ศาลฯนัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย. และจำเลยคดีอาญามาตรา ๑๑๒ ที่มักแสดงความมั่นใจว่า อภินิหารทางกฎหมายเคลียร์ได้หลายคดีแล้ว แต่เขาลืมไปว่า ครั้งนี้คณะตุลาการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นผู้ไต่สวนเอง ซึ่งต่างกับคดีอาญาทั่วไปที่ให้ทนายแก้ต่างคำฟ้องของอัยการได้
คดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องแล้วทนายจำเลยแก้ต่างให้ มีช่องว่างมากมายที่จำเลยใช้ปัจจัยให้ยกฟ้องได้ ส่วนคดีย้ายนักโทษออกจากเรือนจำ เป็นไปตามคำสั่งขังหรือไม่ ศาลฯเป็นผู้เสียหายและเชื่อว่าศาลท่านมีพยานหลักฐานพอพิจารณาตัดสินได้ในวันนั้นเลย
การที่จำเลยกล่าวว่า จะไปศาลหรือไม่รอตัดสินใจเที่ยงคืนวันที่ 12 ก็ทัน ถือเป็นการบ่ายเบี่ยงเพื่อรอเวลาตัดสินใจหนีหรือไม่ จำเลยมั่นใจว่าก่อนเที่ยงคืนวันที่ 12 สมุนบริวารในเครือข่ายส่งสัญญาณบอกว่า หนีหรือไปขึ้นศาล
ประสบการณ์ที่ต้องขึ้นศาลนาน 11 ปี พบว่าวันที่ศาลนัดสืบพยาน หรือวันที่ศาลนัดวันตัดสินคดี มีเพียงเจ้าหน้าที่ศาลคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความเรียบร้อยหน้าบัลลังก์ แต่วันที่ศาลนัดฟังคำตัดสิน มีผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์และตำรวจประกบตัวจำเลยหลายคนในห้องพิจารณาคดี
ที่นายทักษิณพูดว่า รอเที่ยงคืนวันที่ 12 ก็ตัดสินใจทัน คือ ถึงตอนนั้นสมุนบริวารในเครือข่ายคงบอกได้ ว่าได้รับคำสั่งเตรียมกำลังหรือไม่ หลังเที่ยงคืนวันที่ 12 ก็ยังหนีทัน
ตั้งใจจะเขียนเรื่องจีนระดมลงทุนครั้งใหญ่ในอาเซียน ที่ไม่รวมประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่แน่ใจว่า ประเทศไทยยังมีรัฐบาลหรือไม่ ปักกิ่งไม่แน่ใจว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง นายกฯหุ่นเชิดที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เตือนว่า “ระวังชาติหายนะจากกาสิโน” มันกลับเถียงผู้ใหญ่ตามนิสัยถาวรว่า “มีกาสิโนเพียง 10% เองค่า..”
วันนี้จึงได้เพียงอรัมภบทว่า อะไรทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ไม่มาลงทุนในประเทศไทย และทำไมจีนจึงแนะนำให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงมาประเทศไทย เรื่อง จีนทุ่มมหาศาลในอภิมหาโครงการ ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามและกัมพูชาไว้ว่ากันในตอนต่อไปนะ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี