เวียนมาถึงอีกครั้งกับเทศกาลของชาวพุทธอย่าง“เข้าพรรษา” โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 2 ส.ค. 2566ซึ่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าศาสดาของศาสนาพุทธ ได้บัญญัติข้อกำหนดให้พระภิกษุต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชาวบ้านทั่วไป เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนที่เกษตรกรจะลงมือเพาะปลูกพืช เมื่อพระภิกษุเดินทางไปยังที่ต่างๆ บ่อยครั้งก็อาจเผลอเหยียบย่ำต้นกล้าที่ปลูกไว้ได้
แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่เทศกาลเข้าพรรษายังได้รับการปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยพระภิกษุสงฆ์และสามเณรจะใช้ช่วงเวลาตลอด 3 เดือนเป็นการอยู่ประจำวัดเพื่อศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง ขณะที่พุทธศาสนิกชนก็อาจใช้วันเข้าพรรษาเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ลด-ละ-เลิกเครื่อมดื่มแอลกอฮอล์” ดังโครงการ “งดเหล้าเข้าพรรษา” ที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2546
สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวในงานแถลงข่าว “งดเหล้าเข้าพรรษา เปิดประตูสู่ฤดูกาลสุขปลอดเหล้า ปี 2566” เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2566
ว่า โครงการงดเหล้าเข้าพรรษาดำเนินมาถึงปีนี้เป็นปีที่ 21 แล้ว ซึ่งผลสำรวจการรณรงค์ในปี 2565 จากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) พบว่า มีผู้ที่งดตลอดครบพรรษา
ร้อยละ 17.8 และผู้ที่งดบางเวลาและลดปริมาณการดื่ม ร้อยละ 19 รวมที่งดและลดการดื่ม ร้อยละ 36.8 รวมแล้วมีผู้ดื่มที่งดเหล้าเข้าพรรษา 9,383,490 คน สูงกว่าผลสำรวจปี 2564 มีผู้ที่งดและลดการดื่ม ร้อยละ 30.3 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,543.56 บาทต่อคน ประมาณการว่าช่วยให้ประเทศประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในช่วงเข้าพรรษารวมมูลค่า 5,025 ล้านบาท
“การรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาปี 2566 นี้ ถือเป็นจังหวะและโอกาสสำคัญในการเชิญชวนหน่วยงานเครือข่าย ชุมชน และระดับบุคคลเข้าร่วมงดเหล้าตลอด3 เดือนของช่วงพรรษา ในปีนี้ สสส. รณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ปีนี้ งดเหล้าเข้าพรรษา ทุกเพศ ทุกวัย” เป็นการส่งสัญญาณสื่อสารว่างดเหล้าเข้าพรรษาปีนี้มาถึงแล้ว ขอเชิญชวนทุกเพศ ทุกวัย มาใช้โอกาสช่วงเวลา3 เดือน เปิดประตูสู่ฤดูกาลงดเหล้าเข้าพรรษา จนกระทั่งถึงสามารถ ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอดชีวิต” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวในเวทีการประชุมถอดบทเรียนการดำเนินงานโครงการขับเคลื่อนการดูแลผู้มีปัญหาสุราและสุขภาวะโดยชุมชน ซึ่ง สสส. ทำงานร่วมกับสมาคมฮักชุมชน ว่า สถานการณ์ดื่มของคนไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2564 พบผู้ที่เคยดื่มหนักในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา 5.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอดจากร้อยละ 14 ในปี 2557
ในขณะที่ข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานคัดกรองและการบำบัดผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2566 พบผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ได้รับการบำบัดในสถานพยาบาล ร้อยละ 65 แต่ก็ยังมีผู้ที่เข้าไม่ถึงบริการบำบัดรักษาหรือไม่พร้อมจะเดินเข้าสู่ระบบสุขภาพอีกจำนวนมาก ซึ่ง สสส. ได้ขยายการทำงานผ่านสมาคมฮักชุมชน เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าสู่กระบวนการ ลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเน้นการทำงานผ่าน ชุมชน และ วัด เป็นสำคัญเพราะใกล้ชิดกลุ่มเป้าหมายและการป้องกันแก้ไขปัญหาในชุมชนร่วมกัน
รักชนก จินดาคำ นายกสมาคมฮักชุมชนเปิดเผยว่า สมาคมฮักชุมชน ริเริ่มโครงการขับเคลื่อนการดูแลผู้มีปัญหาสุราและสุขภาวะโดยชุมชน ดำเนินการใน 26 พื้นที่ จาก 10 จังหวัด โดยมีรูปแบบที่ให้ชุมชนได้วิเคราะห์ เลือก และนำไปปฏิบัติในพื้นที่ 2 รูปแบบ คือ 1.รูปแบบธรรมนำทาง มีกิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมอยู่วัดรู้ ธรรม 7 วัน 6 คืน มีกิจกรรมให้พระสงฆ์เป็นผู้มอบหลักธรรม สร้างสติ หนุนเสริมปัญญาควบคู่ไปกับบุคลากรสุขภาพ ให้ความรู้ผลกระทบสุรา การดูแลสุขภาพ โดยมีผู้นำชุมชน และ อสม. ช่วยสร้างแรงจูงใจให้สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม
สนับสนุนกระบวนการการติดตามผลครอบครัว คอยให้ความรัก ความเข้าใจ ให้โอกาสกับผู้ที่อยากเลิกสุรา และลดการกระตุ้นการกลับไปดื่ม และ 2.รูปแบบกลุ่มฮักครอบครัว กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมกลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชุดทักษะความรู้ 8 ครั้ง 8 สัปดาห์ และกิจกรรมติดตาม นำ หนุน ใจ โดยผู้มีปัญหาสุราและสมาชิกในครอบครัวจะต้องมีส่วนร่วมในการเข้าร่วมกิจกรรมทุกครั้ง ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบใช้รวมเวลา 12 เดือน มีเครื่องมือสำคัญคือ แบบสำรวจข้อมูลครัวเรือน ข้อมูลการดื่มสุรา ผลกระทบ และ ความสุข
แบบประเมิน พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และแบบประเมินคุณภาพชีวิต มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลลัพธ์สำคัญ คือ 1.กลไกขับเคลื่อนงาน
ที่คนในชุมชนมีส่วนร่วม เป็นเจ้าของปัญหา มีความเข้าใจ และพร้อมดำเนินการในมิติการบำบัดดูแลผู้มีปัญหาสุรา 2.มีความรู้ ทักษะ เครื่องมือในการดูแลผู้มีปัญหาสุรา ที่คณะทำงานในพื้นที่และชุมชน สามารถนำไปใช้ได้ และติดตามผลได้ และ 3.ผู้มีปัญหาสุราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก ดื่มสุรา มีสัมพันธภาพที่ดีกับคนในครอบครัวและชุมชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อีกด้านหนึ่ง “เทคโนโลยี” ก็ถูกนำมาใช้สนับสนุนผู้ที่ต้องการถอยห่างจากน้ำเมา โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 มีการเปิดตัว “น้องตั้งใจ” แชทบอทให้คำปรึกษาและติดตามปัญหาการดื่มผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่ง รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า การให้บริการปรึกษาเลิกเหล้า ผ่านสายด่วนเลิกแหล้า 1413 ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากผู้ที่ดื่มสุราขาดความตระหนัก ไม่กล้าขอเข้ารับคำปรึกษา รู้สึกอายที่จะรับการรักษา และส่วนใหญ่ยังไม่ทราบแหล่งขอรับความช่วยเหลือ
ดังข้อมูลจากระบบ HDC กระทรวงสาธารณสุข ปี 2566 มีผู้ปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับการบำบัดในสถานพยาบาลร้อยละ 65.02 ของผู้มีปัญหาติดสุรา ทั้งนี้ แชทบอท น้องตั้งใจ ให้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ สร้างความสะดวก รวดเร็วขึ้นและขยายประเด็นให้บริการ โดยเพิ่มนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาเรื่องการเลิกสิ่งเสพติดทุกชนิด เพื่อหนุนเสริมระบบงานบำบัดผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด
รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ปรึกษาเพื่อการเลิกสุราและการเสพติด (1413 สายด่วนเลิกเหล้า)เปิดเผยว่า ในปี 2565 มีผู้โทรเข้ามาขอรับคำปรึกษา 6,369 สาย ในจำนวนนี้ได้รับบริการจากนักจิตวิทยา และยินยอมให้ติดตามจำนวน 1,702 สาย จากการติดตามผลครบ 1 ปี มีผู้เลิกสุราได้สำเร็จ 297 คน ทั้งนี้ สายด่วนเลิกเหล้าให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-20.00 น. มีนักจิตวิทยาให้บริการ 8 คู่สาย หากให้บริการเต็มทุกคู่สายหรือนอกเวลาทำการสามารถฝากเบอร์ให้โทรกลับได้
และช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนของทุกปี ได้ขยายเวลาให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด เพื่อตอบสนองการรับบริการที่มีจำนวนมากกว่าช่วงเวลาปกติมากกว่าเท่าตัว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี