คาดกันว่า น่าจะมีการประชุมรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯในวันที่ 18 ส.ค.นี้

ถ้าเราเอาโจทย์ของประเทศเป็นตัวตั้ง นายกฯ คนใหม่ รัฐบาลชุดใหม่ ควรจะต้องเป็นอย่างไร และทำอย่างไร?

1. มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้าน เป็นอันดับแรก

แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องแจกเงิน 10,000 เข้ากระเป๋าดิจิทัลวอลเล็ท

เพราะโจทย์ของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเหวี่ยงแห แจกเงินไปทั่วแบบคนรวยคนจนได้หมด

ท่านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ระบุว่า บริบทของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เปลี่ยนไปจากปี 2565 ที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูงและเร็วมาก จนทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ ธปท. ต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อในขณะที่ปีนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทย จะกลับมาเติบโตได้ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แม้จะฟื้นตัวช้าแต่ก็ยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ธปท. ให้น้ำหนักความไม่แน่นอนทางการเมือง จะส่งผลอย่างไร?

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท. ได้ประเมินว่าจะมีความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณ ออกไปราว 2ไตรมาส แต่ผลกระทบจะไม่ค่อยมาก เพราะงบรายจ่ายประจำยังสามารถดำเนินการได้ปกติ เพียงแต่งบลงทุน อาจจะกระทบบ้าง แต่ไม่ได้มากจนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดีจุดเสี่ยงจริงๆ นอกเหนือจากหน้าตารัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไรแล้ว ยังมีเรื่องนโยบายที่ต้องดูว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรออกมา โดยสิ่งที่ไม่อยากเห็น คือ นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่บั่นทอนเสถียรภาพ ทั้งนี้ เข้าใจว่าเรื่องการเมือง ต้องมีสไตล์รายจ่ายแบบประชานิยม แต่ถ้าดำเนินการอยู่ในกรอบ ไม่มากเกินไป มีวิธีการบริหารจัดการเม็ดเงินที่ชัดเจน ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากมากเกินไปจนกระทบกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ ก็น่าเป็นห่วง

ตอกย้ำมุมมองก่อนหน้านี้ ที่เคยพูดชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่จะแจกเงินแบบเหวี่ยงแห แจกเงินคนรวยด้วย

2. รัฐบาลใหม่ จะต้องไม่สร้างปมขัดแย้งขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องแก้ มาตรา 112 หรือแก้รัฐธรรมนูญแล้วไปแตะต้องหมวด 1 หมวด 2 หมวดสถาบันพระมหากษัตริย์

ซึ่งจะยิ่งทำให้สังคมสงสัยว่า กำลังจับมือแบ่งหน้าที่กันทำงาน แบ่งบทบาทกันเล่นกับพรรคก้าวไกลหรือไม่?

การแก้รัฐธรรมนูญสามารถทำได้ และควรทำประชามติก่อนจะตั้ง ส.ส.ร.

แต่ควรมีกรอบกำหนดให้ชัดเจนเลยว่า ส.ส.ร.ที่จะร่างแก้รัฐธรรมนูญนั้น จะไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 อย่างเด็ดขาด

3. ล่าสุด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ขณะนี้มี สส.ในมือแล้วทั้งหมด 238 เสียง และเรามีอยู่ในมืออยู่แล้วอีก 18 เสียง ที่มาเป็นบุคคลที่อยากจะใช้เอกสิทธิ์โหวตให้พรรคเพื่อไทย ไม่ได้มากลุ่มเดียวกัน ไม่ได้พรรคเดียวกัน ดังนั้นพ้น 256 เสียงไปพอสมควร

“...ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกพรรคใด ถ้าเราคิดว่าเสถียรภาพของรัฐบาล 270 เสียงพอ ก็สามารถจบลงที่แถวๆ นี้ได้ แต่ถ้าเราคิดว่า 280 290 น่าจะดีกว่า เราก็จบลงที่แถวนี้ได้ อยู่ที่การเลือกพรรค แต่ถ้าเราคิดว่าต้องเดิน 300 เราก็ต้องเลือกและตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม การร่วมรัฐบาลคนละเรื่องกับการโหวตนายกฯ การโหวตนายกฯ เราขอให้โหวตได้ทุกคน ทุกพรรค ทุกส่วน ทุกกลุ่ม ขณะนี้เราเรียกร้องให้โหวตนายกฯ ก่อน ถ้าไว้ใจเรา ถ้าใครไม่โหวตก็ถือว่าไม่อยู่ในสมการ ถ้าโหวตนายกฯได้แล้วเราก็เลือกได้ว่าตัวเลขแบบไหน เลือกพรรคการเมืองไหนที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาลได้มากที่สุด และมีนโยบายที่สอดรับกับเรามากที่สุด...” – นายภูมิธรรมกล่าว

การแสดงท่าทีเช่นนี้ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในคะแนนเสียงเลือกนายกฯ และพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมรัฐบาล

ทั้งๆ ที่ จะประชุมเลือกนายกฯ ในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว

4. ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย มีโอกาสจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีสูงมาก

มากกว่าตอนที่นายพิธาถูกเสนอชื่อต่อรัฐสภาคราวก่อน

แต่ทุกอย่างก็ยังไม่แน่นอน 100%

เพราะจำนวนเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาก็ยังไม่ถึง 375 เสียง ยังต้องพึ่งเสียงจากวุฒิสภา

และแนวทางของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เดินหน้าขัดแย้งกับ ข้อ 1 และ ข้อ 2 ข้างต้น อันอาจจะทำให้ สว. และ สส.จำนวนไม่น้อย มีความกังวลว่าจะสร้างระเบิดเวลาลูกใหญ่กว่าเดิมขึ้นมาอีกครั้ง หากโหวตให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตามแนวทางที่เพื่อไทยประกาศไว้นั้น

5. นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำลังทำผิดเงื่อนไขของที่ผู้บริหารพรรค รวมทั้งตัวนายเศรษฐาก็เคยประกาศไว้เองว่าจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ

คล้ายๆ สมัยนายอภิสิทธิ์เคยประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่เอาลุงตู่

ครั้งนั้น หลังเลือกตั้ง เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลที่มีพลังประชารัฐเป็นแกนนำ นายอภิสิทธิ์ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรคและ สส.

ครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขด้วยตนเอง หากจะดึงเอาพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาล ย่อมเป็นการผิดสัจจะ

ทั้งตัวหัวหน้าพรรค และตัวแคนดิเดตนายกฯ นายเศรษฐา

6. ขณะนี้ พรรคเพื่อไทย พรรคอันดับที่สองเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

หลังจากที่พรรคก้าวไกล ได้รับโอกาสไปแล้ว ในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนได้เพียงพอ เพราะติดเงื่อนไขที่ตนเองประกาศไว้เอง

ครั้งนี้ เพื่อไทยก็มีเงื่อนไขที่ตนเองเคยประกาศไว้เองเช่นกัน นั่นคือ ไม่เอาพรรคสองลุง

7. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อไม่นานมานี้

“...พี่น้องประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเทียบคะแนน เขาไม่ได้เห็นคล้อยตามที่เราเสนอ เราซึ่งหมายถึงพรรคซีกเสรีประชาธิปไตย ซึ่งตนวัดจากคะแนน ขณะที่ถ้าเราไล่เลียงกันของเขา 10 พรรคที่มัดกันแน่ ถ้ารวมเป็น 1พรรค ได้ 188 เสียง เขาเป็นอันดับ 1 นะ ในสภา พรรคก้าวไกล เป็นอันดับสอง ได้ 151 และพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับ 3 คือได้ 141 เมื่อเราไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด จึงมีความลำบากสักนิด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพว่าทำไม พรรค พท. ถึงรณรงค์แลนด์สไลด์ เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด สิ่งที่เราได้รับมามันไม่ถึงเป้า ต้องรับสภาพ หาวิธีการดำเนินการให้ดีที่สุด...”

8. ดร.เสรี วงษ์มณฑา ให้มุมมองที่น่าสนว่า

“เพื่อไทย 141+ภูมิใจไทย 71 = 212 ไม่ถึง 251 ไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของ 500

ปชป. กับ เพื่อไทยไม่รวมกัน

เพื่อไทยประกาศไม่เอา 2 ลุง

แล้วอีก 40 จะมาจากไหน แต่ถ้าได้อีก 40 เสียงก็ปริ่มน้ำนะ

เอา ชทพ. มาก็ 10 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง พรรคอื่นๆ รวมยังไงก็ไม่มีทางที่จะได้ 251 เสียง

ไม่ถึงครึ่งสภานิติบัญญัติ

จะกลับไปดึงเอา ก.ก. เข้ามา ภท. ก็ไม่เอา

หนีลุงยากนะ

ถ้าเปลี่ยนคนจัดเป็น ภท. แล้วให้ พท. เป็นแขกรับเชิญเข้าร่วมรัฐบาล FC เพื่อไทยก็คงไม่อาจกล่าวหาว่าพท. ตระบัดสัตย์นะ

เป็นแขกรับเชิญ เจ้าภาพเขาเชิญใครมา ก็เรื่องของเจ้าภาพ เมื่อเป็นเพียงแขกรับเชิญ ก็ต้องเข้าใจว่าต้องตามใจเจ้าภาพ

รทสช. ไม่มีลุงตู่แล้ว เอา รทสช. เข้าไปก็ไม่ผิดคำพูดนะ

ลุงป้อมลาออกจาก พปชร. แล้วให้น้องชายนั่งหัวหน้าพรรคแทน การเอา พปชร. เข้าร่วมรัฐบาลด้วย ก็ไม่มีลุง พท. ก็ไม่ผิดคำพูดแล้ว

ก.ก. ที่มีด้อมส้มเป็นลมใต้ปีกนั้น น่าจะบินต่อยากเพราะพฤติกรรมที่กร้าวร้าวรุนแรง จะทำให้พรรคเป็นหมาหัวเน่า ไม่มีใครเอาด้วย

คิดถึงสูตร Choc Mint ให้ ภท. เป็นคนจัดรัฐบาล แล้วเอา รทสช. และ พปชร. มาร่วมด้วย เข้าสู่บรรยากาศความปรองดองเถอะนะ

อย่าหลงอยู่กับอดีต มองไปข้างหน้าเพื่อประเทศชาติ

หยุดด่ากัน ส่วนใครทำผิดกฎหมายอะไรไว้ ก็ขอให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยดุษณี ไม่ทำตัวเหนือกฎหมาย เราน่าจะเดินหน้ากันได้นะคะ”

9. แนวทางนี้ เป็นไปได้น้อย แต่ก็ยังเป็นไปได้ และเป็นทางออกที่พาประเทศชาติพ้นภัย

แม้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ แต่ถึงอย่างไร พรรคเพื่อไทยก็ต้องเป็นรัฐบาลแน่นอน มิฉะนั้น รัฐบาลจะไม่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ ถ้าเป็นพรรคอันดับสาม อย่างภูมิใจไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล จะไม่มีข้อจำกัดเงื่อนไขทันที

สามารถกำหนดเงื่อนไขใหม่ได้หมดเลย อาทิ

แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2

ไม่ปรับครม. ดึงเอาพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลแน่นอน

ไม่สนับสนุนแนวทางปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอน

ไม่มีนโยบายแจกเงินหมื่น ยกเลิก กอ.รมน. ฯลฯ แต่นโยบายสวัสดิการต่างๆ เดินหน้าได้ อันไหนที่เป็นนโยบายร่วมกัน

การปฏิรูปยังเดินหน้าได้โดยไม่สุดโต่ง (ไม่เสี่ยงเกิดความขัดแย้งรุนแรง เกิดรัฐประหาร) โครงการสำคัญไม่สะดุด รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน แลนด์บริดจ์ อีอีซี ความสัมพันธ์จีน ซาอุฯ ฯลฯ

มีรัฐมนตรีจากเพื่อไทยเข้ามาเพิ่ม สร้างสมดุล ประนอมอำนาจใน ครม.

ทักษิณกลับไทยลดข้อครหา (ทำตามกฎหมาย) เพราะนายกฯไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทย ฯลฯ

สันติสุข มะโรงศรี