ขณะนี้ ประเทศไทยของเรามีนายกรัฐมนตรีแล้ว คือ “นายเศรษฐา ทวีสิน” โดยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ และล่าสุด ก็มีคณะรัฐมนตรีแล้ว น่าสนใจว่า
ประเทศไทยจะเดินหน้าไปอย่างไร ภายใต้การนำของนายกฯ ชื่อ “เศรษฐา”
ก) กระบวนการเดินหน้าตามขั้นตอน
1.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรายชื่อคณะรัฐมนตรี ได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งแล้ว ว่า กระบวนการหลังจากนี้ จะมีการเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 กันยายนนี้เวลา 17.00 น. จากนั้นจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานกำหนดวัน เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นวันที่ 8 หรือ 11 กันยายน แต่อาจจะใช้เวลาในการแถลงนโยบาย 2 วัน เช่น 8-9 ก.ย. หรือ 11-12 ก.ย. โดยก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จะมีการนัดประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ในพุธวันที่ 6 กันยายน ก่อน เพื่อหารือกับ 11 พรรคร่วมรัฐบาล ในการเตรียมการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้การจัดทำคำแถลงนโยบายใกล้เสร็จแล้ว
2.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่า ตนทราบจากทางเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่านางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งว่าอยากได้วันแถลงนโยบายรัฐบาลเป็นวันที่ 11 ก.ย. หากกำหนดเป็นวันที่ 8 ก.ย. อาจจะไม่พร้อม เพราะถ้าจะประชุมวันดังกล่าวต้องส่งเอกสารนโยบายรัฐบาลมายังสภาตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. เนื่องจากสภาต้องออกหนังสือนัดสมาชิกล่วงหน้า 5 วัน ทั้งนี้ ตนจะนัดประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมในวันที่ 7 ก.ย. เวลา 14.00 น.โดยประมาณ
ข) กระบวนการ “ปลดล็อก” เงื่อนไขติดขัด
1. ผู้สื่อข่าวถามนายเศรษฐาถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีชื่อ นายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐจากเดิมที่ติดโผ จะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น นายเศรษฐา ยืนยันว่าตำแหน่งดังกล่าวยังเป็นโควตาของพรรคพลังประชารัฐ และตนยังไม่ได้แต่งตั้งใครเข้าไปแทนที่ โดยเหตุผลที่ไม่มีชื่อของนายไผ่ ลิกค์ เป็นเพราะนายไผ่ ลิกค์ ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของคุณสมบัติเช่นเดียวกับ นายพิชิต ชื่นบาน ที่ขอถอนตัว เพื่อไปตรวจสอบคุณสมบัติให้ชัดเจนก่อนทั้ง 2 คน เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและคณะรัฐมนตรีเดินหน้าต่อไปได้
ยืนยันว่าโควตาทั้งสองคนยังอยู่ และไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลา หรือมีใครจะมาทดแทน แต่หากตรวจสอบครบถ้วนแล้ว ทั้งสองคนก็ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรีต่อไปได้ ส่วนถ้าหากตรวจสอบคุณสมบัติทั้งสองคนเสร็จแล้ว จะมีการเสนอชื่อรัฐมนตรีเพิ่มเติมหรือปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้นนายเศรษฐากล่าวว่า “ใจเย็นๆ” ส่วนกรณี นายพิชิต ชื่นบานประกาศถอนตัวเป็นเพราะต้องการลดแรงกดดันจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือไม่นั้น นายเศรษฐากล่าวว่า นายพิชิต ยืนยันว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เพียงแต่เมื่อมีข้อท้วงติงมาเยอะ นายพิชิตจึงไม่อยากทำให้ ครม.ลำบากใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความหนักใจกับการประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 11 พรรค หรือไม่ เพราะมีความหลากหลายนั้น นายเศรษฐายืนยันว่า ไม่หนักใจ เพราะทุกพรรค
ทุกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายมา ตระหนักดีถึงปัญหาความเร่งด่วน ของบ้านเมืองที่ต้องมีการแก้ไข ดังนั้น เราทุกคนทราบกันดีว่าปัญหาไม่รอคอย วันนี้เราทำงานทุกวันพยายามหยิบยกปัญหาใหญ่ๆ เพื่อมาแก้ไขปัญหาให้ครบทั้งหมด จึงไม่มีความเป็นห่วงเพราะได้มีการพูดคุยกันแล้วหลายรัฐมนตรีก็มีความห่วงใยเรื่องปัญหาบ้านเมือง
ค) กระบวนการ “ให้ความสำคัญกับปัญหา”
เกิดภาพบวก เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นำคณะลงพูดคุยตัวแทนผู้ประกอบการประมง เพราะเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลายมิติในช่วงเวลาที่ผ่านมา
1.นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้เห็นถึงความลำบากและปัญหา ตั้งแต่ตนรับสนองพระบรมราชโองการมา ไปดูเรื่องการท่องเที่ยว การแก้ปัญหาหนี้สิน และเรื่องที่สามคือเรื่องประมงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องปัญหาแรงงานเราจะแก้ปัญหา ให้เอกสารอยู่ในวันสต็อปช็อปได้ อะไรอยู่ในอำนาจคณะรัฐมนตรี จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า (รมว.เกษตรและสหกรณ์)เป็นหัวหน้า และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยกัน
“หลายอย่างอาจทำไม่ได้ในคราวเดียวขอให้อดทน และขอให้มั่นใจ รัฐบาลเพื่อไทยอะไรทำได้เราจะทยอยทำไปก่อนเพื่อให้ท่านลืมตาอ้าปากได้ เรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่น เรื่องน่านน้ำ ที่ประเทศอินโดนีเซีย มีทรัพยากรเยอะมาก แต่ไม่มีความสามารถในการจับสัตว์น้ำ ดังนั้น ขอให้ความมั่นใจเราจะเดินหน้าเต็มที่ในการเปิดประตูการค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนให้ความสำคัญ”
จากนั้น นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ กรณีการจัดการวันสต็อปช็อปรูปแบบจะเป็นอย่างไร โดยกล่าวว่า ต้องให้คณะทำงานดูก่อน วันนี้มาดูแล้ว เห็นปัญหาว่า แรงงานที่จะทำงานต้องมีเอกสารจำนวนมาก มีหลายกระทรวงเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเอกสารขาดก็เห็นใจ อีกทั้งเอกสารต่างๆ ก็ยังเป็นกระดาษ ก็อยากให้เข้าระบบออนไลน์ทั้งหมดเพื่อความสะดวก และในแง่การตรวจก็จะดีขึ้น และจากที่ตนเรียนไป สัปดาห์ก่อนไปดูเรื่องท่องเที่ยว ตามด้วยเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สิน เรื่องประมงเป็นเรื่องที่สามที่ตนมาดูเอง เชื่อว่าเรื่องนี้เราพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ เข้ามาทำงานร่วมกับผู้ประกอบการและจัดการแก้ปัญหาโดยเร็ว ยอมรับว่าปัญหาใหญ่ ปัญหาเยอะ อะไรที่ทำได้เราจะทำก่อน
เมื่อถามว่าเท่าที่รับฟัง ปัญหาอะไรทำได้ทำทันทีนายเศรษฐากล่าวว่า ขอพิจารณา อะไรที่เกี่ยวกับกฎกระทรวงทบวงกรม หรือเข้าคณะรัฐมนตรี และต้องเจรจาการค้าระหว่างประเทศก็อาจจะนานหน่อย เช่น เรื่องวิทยุมดขาวมดดำ ที่เพิ่งมีการบังคับใช้ในระยะหลัง ทั้งที่เรามีการสื่อสารทางวิทยุกันอยู่แล้ว
เมื่อถามถึง พ.ร.บ.บริหารจัดการแรงงานต่างด้าว มาตรา 14ที่เป็นปัญหาสำหรับแรงงานต่างด้าวจะสามารถแก้ได้ทันทีหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องศึกษาร่วมกับกระทรวงแรงงานด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมาพูดคุยกันทุกฝ่าย
เมื่อถามว่าน่านน้ำอินโดนีเซีย จะสามารถเข้าไปเจรจาได้เลยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ขอดูก่อน แต่ถือเป็นประเทศอาเซียนด้วยเหมือนกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และไม่ถือว่าแย่งกันทำงานเพราะเขามีทรัพยากร เรามีความรู้ทางการทำประมง ถ้ามาร่วมกันได้กันแบ่งปันผลประโยชน์ก็น่าจะลงตัวและเดินหน้าด้วยกันได้
2. เมื่อถามว่า ที่มามุ่งปัญหาประมงเพราะปัญหา 8-9 ปี ทำให้ประเทศติดหล่มใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ประเทศเสียรายได้เป็นจำนวนปีละ 5 แสนล้าน ผ่านมากี่ปีแล้วเป็นเงินเท่าไร เราก็ต้องมาแก้ไข เดินหน้าดีกว่า อย่ามองเรื่องปัญหาเก่า อย่าไปว่าใครเลยดีกว่า และมั่นใจว่ากฎหมายต่างๆ ที่ผู้กระกอบการประมงเสนอมามั่นใจสามารถแก้ไขได้ ต้องฝาก ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้รับผิดชอบ
“สำหรับเรื่องค่าแรงที่ทางผู้ประกอบการบอกว่าจะหมุนเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องค่าแรงเป็นนโยบายหลักของทุกพรรค การขึ้นค่าแรงก็ต้องระมัดระวังในการขึ้น เพราะเป็นการขึ้นภาระค่าใช้จ่ายของทุกภาคส่วน แต่มีความจำเป็นเพราะค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ การเน้นเพิ่มรายได้ ถ้าเราเพิ่มรายได้ให้เอสเอ็มอีได้ เขาก็จะสามารถเพิ่มค่าแรงได้ ซึ่งจะเร่งทำทันที ก็อาจจะช่วงปีใหม่ แต่ต้องคุยกับพรรคร่วมอีกครั้ง เพราะเราทำงานเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วม” นายเศรษฐา กล่าว
3. เมื่อถามว่า ลักษณะการทำงานของนายกฯหลังจากนี้จะไปควบคู่กับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคต่างๆ ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดา ที่ต้องร่วมกับรัฐมนตรี อยากให้มองเป็นองค์รวมว่า ไม่ใช่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยแต่เป็นรัฐบาลของประชาชน ประกอบกับหลายพรรคการเมือง เชื่อว่าทุกรัฐมนตรีที่ได้รับการพูดถึงทุกท่านมีความเป็นห่วงปัญหาปากท้องของประชาชนและมีความปรารถนาดีของประเทศขอแค่โอกาส
4. ส่วนภารกิจ การประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 78 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่19-23 กันยายน นี้ นายเศรษฐายืนยันว่า ตนจะเดินทางไปโดยจะออกเดินทางในคืนวันที่ 18 กันยายน และเริ่มภารกิจทันทีในวันที่ 19 กันยายน โดยจะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหลายคนร่วมเดินทางไปด้วย โดยเฉพาะนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่าง 5-8 กันยายนนี้ ตนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะไม่ทัน
5. นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงกรณี ความคืบหน้ามาตรการลดค่าไฟฟ้า ว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2566 ตนได้โทรไปหา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) วันนี้ก็จะหารือกันอีกครั้ง โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบายพรรค พท.และว่าที่เลขาธิการนายกฯ จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ขอให้รออีกนิด เข้าใจว่าอยากรู้ว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการการพูดคุยถึงเรื่องงบประมาณ อย่างไรก็ตาม วานนี้ทางประธานสภาอุตสาหกรรม ก็ได้แสดงความกังวลเรื่องลดค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ ทั้งค่าไฟค่าพลังงาน แน่นอนว่า เราให้ความสำคัญสูงสุด และชี้แจงแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
6. เมื่อถามถึงเรื่อง ความคืบหน้าการพักหนี้เกษตรกร จากที่ได้คุยกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายเศรษฐากล่าวว่า เป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรค พท. แต่เราต้องดูรายละเอียดว่าจะใช้จำนวนเงินเท่าไหร่ และจะเป็นการพักทั้งต้นและดอก หลักการเพื่อให้เกษตรกรมีเวลาไปฟื้นฟู ไปทำมาหากิน ไม่ใช่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องหนี้สิน ซึ่งเบื้องต้นประมาณเดือนต.ค.สามารถทำได้ โดยตอนนี้ได้ให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคาร ธ.ก.ส. ไปดูเรื่องการอนุมัติ และประสานกับกระทรวงการคลังด้วย ทั้งนี้ เราจะไม่ดูเรื่องหนี้สินแค่เกษตรกร แต่เราจะดูแลเรื่องหนี้สินของประชาชนรวมถึงตำรวจ และหนี้สินในช่วงที่ประสบกับภัยพิบัติ โควิดเราจะดูแลให้ครบทุกภาคส่วน ซึ่งการพักหนี้ชั่วคราวเป็นแค่การแบ่งเบาความทุกข์ ฟื้นฟูจิตใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเพิ่มรายได้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น นโยบายของพรรค พท. เราก็ได้มีการคุยกันถึงการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำ
7. เมื่อถามว่า สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ออกมาตั้งคำถามว่า การฟรีวีซ่าที่นายกฯพูดถึง หมายถึง อะไร นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอประทานโทษด้วย ที่ตนพูดไม่ชัดเจน การฟรีวีซ่าไม่ได้หมายถึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่วีซ่าฟรีหมายถึงไม่ต้องขอวีซ่า หากไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า โดยจะเป็นการยกเว้นขอวีซ่าชั่วคราวในช่วงที่เป็นไฮซีซั่น ซึ่งไม่ใช่แค่กระทรวงการต่างประเทศที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ตนได้ดูเรื่องของความมั่นคง และได้มีการคุยกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงการท่าอากาศยานด้วย ซึ่งเราต้องดูทั้งหมดในการที่จะเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการคุยกันหลายเรื่องและมีการเห็นชอบในหลักการ ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกับว่าที่รมว.มหาดไทยด้วย ซึ่งท่านก็บอกว่าเห็นด้วย ที่จะช่วยกันผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะสามารถทำได้ภายใน 1 ต.ค. นี้
8. เมื่อถามถึงเรื่อง การพัฒนากีฬาในประเทศ รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ในการกำกับการดูแลของพรรคเพื่อไทย เมื่อวานนี้ได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาหลายท่านเพื่อมาพบปะพูดคุยกัน การกีฬาแห่งประเทศไทย ยังมีเรื่องของกองทุนพัฒนากีฬา เข้าใจว่าอีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่ช่วงเอเชี่ยนเกมส์แล้ว หลายสมาคมยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนค้างกันมาเป็นหลายล้าน ตรงนี้ก็ฝากผู้ที่ดูแลด้านกองทุนพัฒนากีฬาด้วย ว่าหากสามารถจ่ายเงินออกมาได้ก็เป็นขวัญกำลังใจให้กับนักกีฬา ที่จะไปแข่งขันในเอเชียนเกมส์ที่ใกล้เข้ามา เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับประเทศชาติ ซึ่งเท่าที่ฟังมาก็มีหลายสมาคมที่เดือดร้อน
9. เมื่อถามว่า การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถูกตัดงบ 150 ล้านบาท จะกระทบการจัดงานโมโตจีพีหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตรงนี้น่าเป็นห่วง แต่ต้องมาดูก่อนว่า 150 ล้านบาทที่ตัดไป เอาไปทำอะไร มีทางไหนหรือไม่ที่จะคงไว้ซึ่งกิจกรรมต่างๆ
สรุป : จะเห็นได้ว่า นับแต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ นายเศรษฐา มีการปรับตัวปรับท่าที สุขุม และระมัดระวังคำพูดคำจามากขึ้น
การเข้าคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่รักษาการอยู่ เป็นจุดนับหนึ่งของการ “สื่อสารเชิงบวก” ลดแรงต้าน ลดอาการระแวง โดยเฉพาะ
ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “สลิ่ม” ได้มาก
จากนี้เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา การขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ความซื่อสัตย์สุจริต และวุฒิภาวะทางอารมณ์
สำคัญที่สุด ที่อาจไม่อยู่ในอำนาจของนายเศรษฐาโดยตรง แต่ต้องสั่งการและบริหารจัดการ ผ่านผู้มีหน้าที่นั่นคือ สภาวะ “สภาล่ม”
รัฐบาลที่มีเสียง เกิน 300 เสียง อย่างรัฐบาลชุดนี้
ควรมีองค์ประชุมที่ครบถ้วน พอที่จะไม่เกิดปัญหา “สภาล่ม” อีก
จบ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี