วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“แนวหน้าออนไลน์” รายงานว่า เพจ “สติค่ะลูกกกก”กล่าวถึงพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่มีมติขับนายปดิพัทธ์สันติภาดา ออกจากพรรค ว่า...“แหม เหลี่ยมทุกดอกแล้วบอกการเมืองใหม่ สุดท้ายตัวเองก็เล่นละครการเมืองเหมือนกัน พอดีเป็นรองประธานสภา แล้วมันติดลมอะนะ #สติค่ะลูกกกก”
เรื่องนี้มีประเด็นครับ
1.บางคนอาจจะมองว่า ธรรมดา พรรคอื่นเขาก็ทำกันเช่น พรรคพลังประชารัฐเคยขับกลุ่ม “ผู้กองธรรมนัส”ไปฝากไว้ที่พรรคอื่นมาก่อน แต่คำถามก็คือ พรรคก้าวไกล กองเชียร์ และเราๆ ท่านๆ จะใช้ตรรกะว่า ฉันผิดเหรอ? แล้วทำไมไอ้นั่นมันทำได้ล่ะ? หรือชุดความคิดติดปากว่า “คนอื่นก็ทำ ไม่เห็นผิดเลย”
2.เอาจริงๆ ตอนพรรคพลังประชารัฐทำ ก็ไม่ได้มีใครสรรเสริญนะครับ ไม่มีใครบอกเลยว่า นั่นคือแนวปฏิบัติ หรือบรรทัดฐานที่ดี
3.ขณะที่พรรคก้าวไกล “อวดโอ่” เอาไว้ แบบ“ยกตนข่มท่าน” ว่า จะทำการเมืองแบบใหม่ มีคุณภาพ สร้าง “อนาคตใหม่’ #กาก้าวไกล #ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมก็เห็นเหมือนเดิมเป๊ะ ทั้งเอางบโค้งสุดท้ายไปเลี้ยงหมูกระทะ เอางบโค้งสุดท้ายไปสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าพรรคก้าวไกลจะต่อสู้เพื่อลดการใช้งบประมาณแบบนี้ สุดท้ายก็ทำได้แค่ “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”
4.ไม่มีมาตรฐานที่สูงขึ้น ไม่มีบรรทัดฐานใหม่ มีแต่ชั้นเชิงแบบ “การเมืองทั่วไป” ซึ่งโดยส่วนตัว ผมเข้าใจได้ ว่า นี่คือการบริหารโอกาสและอำนาจแบบที่การเมืองเขาทำกัน ถ้ามันไม่ติดตรงที่ คุณเคยอวดอ้าง โฆษณาชวนเชื่อไว้ว่า จะทำการเมืองที่ดีกว่านี้ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากโทษรัฐธรรมนูญ โทษกฎหมาย กัประดิษฐ์ “วาทกรรมกลบเกลื่อน” หรือ “วาทกรรมฟอกขาว” ใหม่ๆ ว่าเป็นผลจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ต้องแก้ไข...ก็เท่านั้น
5.สำคัญที่สุด คือ ไม่มีการระบุ “ความผิด” ที่เป็นเหตุให้ขับออกจากพรรค ไม่มีการอ้างระเบียบของพรรคที่ถูกสมาชิกคนหนึ่งละเมิด จนเป็นเหตุให้ต้องมีมติ #ขับออก นอกจากบอกว่า พรรคก้าวไกลมุ่งมั่นจะเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” และปดิพัทธ์ยังอยากจะเป็นรองประธานสภาฯ ต่อไป...ก็เท่านั้น
1) ต่อมา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แถลงว่า ตนขอน้อมรับมติดังกล่าวของพรรคก้าวไกล ซึ่งจากการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดทางที่ประชุมใหญ่ เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยเงื่อนไขนี้ ทำให้ตนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาฯ ในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกลได้ แม้อีกทางเลือกคือการลาออกจากรองประธานสภาฯ เพื่อกลับไปทำหน้าที่ สส. แต่หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หากลาออกรองประธานสภาฯจะส่งผลกระทบ ต่อการขับเคลื่อนวาระที่ตนได้ให้สัญญากับประชาชน และสภาฯ ตนจึงตัดสินหลังจากที่พรรคก้าวไกลได้มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ตนจึงแสดงความจำนงต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ต่อ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตนจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด จะผลักดันการทำงานสภาฯอย่างเต็มที่
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจมี 3 ส่วน
1.ผมต้องใช้วาระที่เหลือของสภาฯนี้ขับเคลื่อนนโยบายยกระดับการทำงานสภาฯให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพสูง และเป็นของประชาชน โดยเฉพาะการจัดเคลื่อนให้สภาฯยึดโยงประชาชน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมืองไทยในระบบรัฐสภา การเปิดใช้พื้นที่รองรับกิจกรรมหรือแสดงออกทางการเมืองผ่านลานประชาชนที่จะเปิดใช้ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ รวมถึงการจัดสภาฯสัญจรใกล้ชิดประชาชนทุกพื้นที่ และเดินหน้าการตรวจรับการก่อสร้างอาคารรัฐสภา ให้ไม่มีทุจริต รับผิดชอบต่อความล่าช้าให้รู้ว่าภาษีประชาชาเป็นประโยชน์ใคร
2.ผมต้องการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาฯอย่างเป็นกลาง ต่อทุกพรรคการเมือง และประชาชนทุกชุดความคิดไม่ว่าจะสังกัดพรรคใด การที่ผมต้องเปลี่ยนสังกัดจะไม่ส่งผลกระทบต่อหน้าที่ แผนงานรองประธานสภาฯ
3.มั่นใจว่า พรรคก้าวไกลจะมีบุคลากรพร้อมดูแลความทุกข์ร้อนประชาชนชาวพิษณุโลกเขต 1 ได้ ผมยังเป็นสส.พิษณุโลก การตัดสินใจครั้งนี้ ได้สอบถามประชาชนในเขตตัวเอง และทั่วประเทศคร่าวๆ แล้ว มั่นใจว่าการทำหน้าที่รองประธานสภาฯจะเป็นประโยชน์กับประชาชน
เมื่อถามว่า ได้คุยกับทางพรรคก้าวไกลแล้วหรือไม่ว่า จะไปสังกัดพรรคใด นายปดิพัทธ์กล่าวว่า การตัดสินใจของพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นระยะสั้น ก่อนหน้านี้มีการพูดคุยถึงทางเลือกต่างๆ ร่วมกัน แต่การพูดคุยสิ้นสุดแล้ว เพราะตนได้มอบฉันทามติให้ว่า พร้อมน้อมรับมติของพรรคก้าวไกล หลังจากนี้จะเป็นการตัดสินใจของตนว่าจะไปอยู่พรรคใด แต่แน่นอนว่าต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกับอุดมการณ์ของตน ไม่สามารถข้ามขั้วไปอยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกับตนได้
เมื่อถามถึงความรู้สึกขณะนี้ยังมีความเป็นพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ แต่ด้วยพฤตินัยตนไม่ได้เกี่ยวกับพรรคก้าวไกลตั้งแต่มา
รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ แล้ว ดังนั้น ความรู้สึกมันถูกเตรียมการมาตั้งแต่ตอนนั้น
เมื่อถามว่าถ้าเปรียบเทียบกับอดีตสส.ในพรรคก้าวไกล ที่ไปทำกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่น แต่ทางพรรคก้าวไกลก็ไม่ขับออก นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ต้องให้ทางพรรคก้าวไกลตัดสิน ตนไม่สามารถตัดสินใจหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในอดีตได้
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่าเป็นการสมคบคิดเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งรองประธานสภาฯ นายปดิพัทธ์กล่าวว่าเป็นสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ การขับตนออกครั้งนี้ พรรคก้าวไกลก็ตัดสินใจลำบาก และรอบคอบ ถามว่าจะสมคบคิดเพื่อผลประโยชน์ใครคงไม่ใช่ แต่ด้วยข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญ เราจำเป็นต้องหาทางที่ดีที่สุด ถ้าตนตัดสินใจจะมีมติแบบนี้ทางพรรคก้าวไกลก็ไม่มีโอกาสเลือกทางอื่นส่วนจะเป็นเกมการเมืองแบบไม่ตรงไปตรงมา ทั้งที่พรรคก้าวไกลพยายามตั้งมาตรฐานมาก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น ก็เป็นสิทธิ์ที่จะวิจารณ์
“ยืนยันว่าไม่มีเงื่อนงำใดๆ พูดกันแบบตรงไปตรงมาด้วยเหตุผลการทำงาน หลังจากนี้ขอให้อนาคตเป็นบทพิสูจน์ที่มีการวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลเล่นการเมืองแบบเก่า ไม่ใช่สร้างการเมืองใหม่นั้น ขอให้ไปถามพรรคก้าวไกลเองผมตอบแทนพรรคไม่ได้” นายปดิพัทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่าได้มีหารือส่วนตัวกับพรรคไทยสร้างไทยกับพรรคเป็นธรรมแล้วหรือไม่ ในการตัดสินใจจะไปร่วมงาน นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ยังไม่ได้หารืออย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ระยะเวลาที่ตนต้องหาสังกัดพรรคใหม่ เป็นไปตามกฎหมายคือ 30 วัน ขณะนี้เป็นวันแรก ตนขอกลับพื้นที่ไปอยู่กับครอบครัว สำหรับพรรคที่ตนจะเลือกสังกัดนั้น ยืนยันอีกครั้งว่าต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ไม่สามารถข้ามขั้วได้
เมื่อถามว่ากรณีที่ถูกพรรคก้าวไกลขับออกและต้องหาสังกัดใหม่ กังวลว่าจะไม่ได้รับการยอมรับในสภาฯ ในฐานะรองประธานสภาฯ หรือไม่ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะที่ผ่านมาพรรคชนะอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร หรือได้ประธานสภาฯ ถือเป็นเค้าลางของความไม่ปกติพอสมควร ดังนั้น ตนมองว่า หากสิ่งใดที่เป็นไปตามหลักการทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่มีเกมการเมืองใดๆ
เมื่อถามว่ามีการกดดันจากสส.ฝั่งรัฐบาลหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า “มีแต่ให้กำลังใจให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี”
เมื่อถามว่าขณะนี้ถูกมองว่าเป็นนอมินีของพรรคก้าวไกล เหมือนที่มีการกล่าวหาว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นนอมินีของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า “แบบนี้จะไม่เป็นธรรมกับพรรคอื่นที่มีผู้นำมีศักดิ์ศรีได้”
ภายหลังการแถลงผู้สื่อข่าวถามว่า จะติดใจหรือไม่ หากพรรคก้าวไกลส่งคนไปดูแลพื้นที่พิษณุโลกเขต 1 แทน นายปดิพัทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยระบุเพียงว่า
“ไม่ให้สัมภาษณ์แล้วนะครับ”
2) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคก้าวไกล มีมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค เพื่อรักษาตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพราะเห็นว่าทำหน้าที่ได้ดี ว่า เรื่องการทำหน้าที่ได้ดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่มาตรฐานของพรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล ทั้งเคยไปตำหนิทั้งสังคมและพรรคการเมืองไว้ แต่เมื่อถึงเวลาอยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ ก็ทำอะไรที่ไม่ต่างจากคนอื่น ซึ่งที่ผ่านมาเคยโจมตีคนอื่น แต่ตัวเองกลับทำในเรื่องที่เหมือนกล่าวหาคนอื่น พฤติกรรมที่ทำนี้ถือเป็นนิติกรรมอำพราง ซึ่งใครๆ ก็รู้อยู่ว่า เหมือนของหลอกๆ ไม่ใช่ของจริง เพราะความจริงแล้ว ในอดีตพรรคการเมืองของตนเอง ซึ่งเคยมี สส.ไปทำกิจกรรมกับพรรคอื่น หรือไม่ได้อยู่กับพรรค ก็ไม่เห็นไล่ออก แต่พอมาคราวนี้อยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ ก็ทำทีเป็นไล่ออกถ้าถามว่าสังคมรู้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าสังคมรู้และใครๆ ก็รู้ แบบนี้จึงเห็นว่ามาตรฐานของพรรคการเมืองแบบนี้ ไม่ควรทำอย่างนี้
“ในอดีตและพรรคอื่นทำ คณะกรรมการการเลือกตั้งกลับนิ่งเฉย แล้วปล่อยเลยเถิดมา จนมีการทำเป็นแบบอย่างในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ถูกตามที่กฎหมายกำหนด พฤติกรรมที่พรรคก้าวไกลทำถือว่าไม่ควรกระทำ”นายวันชัย กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลยืนยันว่าทำตามกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญบังคับไว้ นายวันชัย กล่าวว่า แม้ว่าหลายเรื่องไม่ผิดกฎหมาย แต่ควรต้องดูถึงความถูกต้อง จริยธรรม คุณธรรม ความเหมาะ ความควร แล้วตัวเองเป็นพรรคการเมืองที่ประกาศถึงมาตรฐานทางการเมืองสูงกว่าคนอื่น ดังนั้น จะมาบอกว่าคนอื่นทำแบบนี้ แล้วตัวเองควรทำด้วย เป็นเรื่องไม่ควรทำ ไม่เช่นนั้นทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ จะกล่าวหาได้ว่า พรรคนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับพรรคการเมืองอื่นๆ เวลาอยากได้อำนาจ อยากได้ตำแหน่ง อะไรก็อ้างได้
3) นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล มีมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคฯ ว่า การขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ตามหลักการควรเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ที่สมาชิกไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคได้ เพื่อให้ไปหาพรรคการเมืองใหม่สังกัด และยังคงสามารถทำหน้าที่ สส. ได้ต่อ แต่ในการขับครั้งนี้ กลับเป็นการสมคบ ตกลงรู้เห็นร่วมกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพื่อหลบเลี่ยงหาทางออกไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
“ทั้งที่การขับออกจากพรรค ควรออกตามธรรมชาติความเป็นจริง ดังนั้น จึงต้องรอดูว่า จะมีผู้ที่ยังติดใจยื่นตรวจสอบให้มีการวินิจฉัยในครั้งนี้หรือไม่ ซึ่ง สส. 1 ใน 10 ของสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถหยิบยกให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งได้ว่า การแสดงออกของพรรคก้าวไกล หรือการขับออกจากการเป็น
สมาชิก ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือคนอื่นๆ ก็สามารถยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยได้” นายเสรี กล่าว
4) น่าสนใจว่า การขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา อ้าง “ความผิด” ใด เพราะมาตรฐานของพรรคนี้ ไม่เคยนิ่ง
16 ธ.ค. 2562 น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงว่า พรรคมีมติขับ น.ส.ศรีนวล บุญลือ สส.เขต 8 จ.เชียงใหม่, นายจารึก ศรีอ่อนสส.เขต 2 จันทบุรี, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศาสส.เขต 1 จันทบุรี และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ สส.เขต 7จ.ชลบุรี ออกจากพรรค เพราะ “โหวตสวนมติพรรคซ้ำซากหลายครั้ง” และยังมีกรณีที่ให้สัมภาษณ์แล้วเกิดผลกระทบต่อพรรคด้วย
ต่อมาเมื่อเป็นพรรคก้าวไกล มีการโหวตสวนมติพรรค แต่ไม่มีการขับออกจากพรรค โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกพรรค ได้แถลงข่าวอธิบายว่า เหตุใดพรรคก้าวไกล ถึงมีแนวคิดไม่ขับ นายคารม พลพรกลาง สส.บัญชีรายชื่อนายขวัญเลิศ พานิชมาท สส.ชลบุรี นายพีรเดช คำสมุทรสส.เชียงราย และ นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ สส.เชียงราย ที่โหวตไว้วางใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ให้ออกจากพรรค เพราะมองว่า การรักษาน้ำใจประชาชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่ดีที่สุด คือ การจำกัดบทบาท และตัดการสนับสนุนทุกอย่างจากพรรค เบื้องต้น พรรคมีแนวทางจำกัดการสนับสนุนจากพรรค เช่น ขอตำแหน่งกรรมาธิการฯ คืน ส่วนการเลือกตั้งคราวหน้าอาจไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค
คำถามคือ มาตรฐานของพรรคนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในยุค “อนาคตใหม่” หรือยุค “ก้าวไกล” มีไหม? หรือเป็นไปตามอำเภอใจ ไม่ต้องอิงกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับพรรค
ถามย้ำอีกครั้งว่า การขับนายปดิพัทธ์ ออกจากพรรคนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ความผิดใด” และพฤติกรรมที่กระทำผิดเช่นนั้น ทำให้ยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น “รองประธานสภาผู้แทนราษฎร” คนที่ 1 อยู่หรือไม่
ใครจะทำให้เรื่องนี้สะอาด กระจ่าง ไม่เป็นแค่ปาหี่ ปากด่าคนอื่น แต่ทำเสียเอง...อย่างนี้
หรือจะยังคงยึดหลักการว่า เจอคนหน้าด้าน ให้หน้าด้านกว่า...ต่อไป!!

‘ผบก.ตม.4’ลงพื้นที่‘ด่านช่องเม็ก’ สกัด‘รถน้ำมัน’ทะลักออกด่าน ตามคำสั่ง‘มทภ.2’
ในหลวง-พระราชินี ทรงรับผู้บาดเจ็บ-ผู้เสียชีวิต จากเหตุชายแดน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
มาลี แถลงโต้ ยันเขมรไม่ได้กักตัวคนไทย โอดถูกเครื่องบิน F-16 ระดมทิ้งระเบิด
สรุปเหรียญ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ไทยยังคงนำเป็นจ้าวเหรียญทอง
โคราชจับตา! เฝ้าระวัง'ทหารรับจ้างรัสเซีย'ลอบเข้าพื้นที่ เอี่ยวแผนก่อเหตุจุดยุทธศาสตร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี