นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง โพสต์ภาพและข้อความ ผ่าน เอ็กซ์ ระบุว่า
“เสียงสนับสนุนนโยบาย Digital Wallet ชาวพรหมพิราม จ.พิษณุโลก ครับ เสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนที่ส่งมายังผม ว่าอยากได้เงิน 10,000 บาทเพื่อให้ครอบครัวได้มีโอกาสสร้างตัว และแก้ความยากจน เป็นพลังให้เราต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดครับ”
นายกฯ เศรษฐา ยังกล่าวว่า สมมุติวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ลองคิดดูหากบ้านมี 3-7 คนได้คนละ 10,000 บาท ก็จะได้ 30,000 50,000 70,000 บาทแล้ว สามารถเอามาตั้งตัวได้ เปลี่ยนชีวิตได้ ทำธุรกิจหลายอย่างได้ ลองคิดดูว่าเป็นประโยชน์มากน้อยขนาดไหน อย่างไร และยืนยันว่าเงินที่ได้ นำไปใช้กรุงเทพฯไม่ได้ ต้องใช้ในเขตที่อยู่เท่านั้น จะช่วยพัฒนาชุมชนที่ท่านอยู่ด้วย ไม่ใช่พัฒนาแค่เมืองใหญ่อย่างเดียว
“ท่านอย่ายอมนะ อย่ายอมให้คนที่ไม่เห็นด้วยที่ไม่มีเหตุผล มายับยั้งโครงการนี้ ไม่ได้นะ อันนี้ถ้าชอบอยู่ ดีอยู่ก็ขอให้พูดบ้าง เปล่งเสียงออกมาบ้าง ...”
1. วุฒิภาวะนายกฯ
การปลุกระดมคนด้วยการแจกเงินหมื่นเข้ากระเป๋าดิจิทัล วอลเล็ต มูลค่า 5.6 แสนล้านบาท มาเป็นเครื่องล่อ
คือ ความล่มสลายทางวุฒิภาวะของคนเป็นนายกรัฐมนตรี
นายกฯเศรษฐาตราหน้าคนที่คัดค้านว่าเป็น “คนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีเหตุผล” ทั้งๆ ที่ ผู้ที่ออกมาคัดค้านเหล่านั้น ล้วนแต่มีเหตุผล ข้อมูลจริง
อาทิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ 2 คน (ประวัติไม่เคยด่างพร้อย), อดีตคณบดีเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ 5 คน, อดีต รมว. คลัง,อาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์, นักเศรษฐศาสตร์, อดีต ป.ป.ช, นักวิเคราะห์ ฯลฯ ล้วนแต่มีประสบการณ์ความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาค มากกว่า 100 คน
แม้แต่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ อดีตแคนดิเดตรมว.คลัง ของเพื่อไทยเอง ยังคัดค้าน
ทั้งหมดชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่า การแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทยามนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย แจกเงินมีตัวคูณไม่ถึง 1 เท่า เพิ่มภาระทางการคลัง ไม่เพิ่มการลงทุน ค่าเสียโอกาสมหาศาล กระทบเสถียรภาพการเงิน ฯลฯ
ขณะที่นายเศรษฐา เป็นอดีตพ่อค้าขายบ้าน เคยโม้แหลกว่า จะแจกเงินหมื่นโดยไม่กู้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว !!!
แต่สุดท้ายแล้ว จะต้องกู้ยืมมาแจกแน่นอน
วันนี้ ยังไม่กล้าบอกกับสังคมตรงๆว่า เงินที่จะแจกเอามาจากไหน ยังตอบชัดๆไม่ได้
ถามว่า ใครกันแน่ไม่มีเหตุผล?
2. ความจริงในปัจจุบัน
หนี้เก่ายังสุมหัวรัฐบาล ทั้งหนี้ระบบสถาบันการเงิน หนี้จำนำข้าว ฯลฯ
รัฐบาลยังขาดดุลงบประมาณ ต้องกู้เงินมาจ่ายในกิจการงานต่างๆ ปีละหลายแสนล้านบาท (งบประมาณขาดดุล)
ประเทศยังขาดเงินจะเอาไปทำโครงการที่จำเป็นอื่นๆ มากมายด้วยซ้ำ อาทิ ชาวนา ชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลำไย ฯลฯ ปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ หรือช่วยเหลือในสถานการณ์ราคาตกต่ำเลยแม้แต่บาทเดียว ถ้าหลังจากนี้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ จะเอาเงินที่ไหนมาช่วยเหลือ นอกจากกู้เงินเพิ่มซ้ำเข้าไปอีก
รัฐบาลกลับยังดึงดันจะเดินหน้าหาแหล่งยืมเงินใหม่เพิ่มเติมอีก เพื่อนำมาแจกจ่าย !!!
3. การดึงดันทำแบบนี้ ไม่ตรงปก ไม่เหมือนตอนหาเสียงไว้
เพราะตอนหาเสียง พรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐาทวีสิน ประกาศว่าจะแจกเงินหมื่นบาท โดยไม่ต้องกู้เพิ่มสักบาทเดียว
4. ผู้ที่ออกมาคัดค้าน “ไม่มีเหตุผล” ตามที่นายกฯเศรษฐากล่าวหา จริงหรือ?
เหตุผลที่ท่านเหล่านี้ออกมาคัดค้าน ประเด็นสำคัญบางส่วน ได้แก่
(1) เศรษฐกิจภาพรวมไม่จำเป็นต้องกระตุ้นใหญ่ขนาดนี้
ประเทศไทยไม่ได้จำเป็นจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน 5 แสนล้านบาทนั่นเลย
คิดง่ายๆ ถ้าจำเป็นเร่งด่วนจริง จะไปรอแจกเอาต้นปีหน้าได้อย่างไร?
สำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 ในปีนี้ และร้อยละ 3.5 ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้น การบริโภคภายในประเทศ และการกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation)สูงขึ้น และอาจนำไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด
(2) เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัด ย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ
เงินจำนวนมากถึงประมาณ 560,000 ล้านบาทนี้ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นต้น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อันจะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาว แทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป
ค่าเสียโอกาสสำคัญ คือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน
(3) รัฐบาลคาดหวังเกินจริง
ปัจจุบัน ข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง
(fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงิน มีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลัง สำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ
“ไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินที่งอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้า ไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายแล้วประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และ/หรือ ราคาสินค้าแพงขึ้น เพราะเงินเฟ้ออันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน”
(4) เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก
การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ
ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น
หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 61.6 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่ายคืนหรือกู้ใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย
(5) ส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (creditrating) ของประเทศ
ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไปหลายประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ฉลาดรอบคอบ โดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscalconsolidation) ทั้งนี้ เพื่อสร้าง“ที่ว่างทางการคลัง” (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต
“นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับภาษีเพียงร้อยละ 13.7 ของGDP ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก การทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย”
(6) นโยบายไม่เป็นธรรม
การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง
เศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
(7) เพิ่มรายจ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่า
สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกล จึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก “นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท” แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้นั้น น้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังในระยะยาว
แม้รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องไม่ทำลายความยั่งยืนทางการคลัง หากจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนรายได้น้อย ก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจง แทนการเหวี่ยงแหครอบคลุมทุกกลุ่ม เพราะเสถียรภาพทางการคลังของไทย และความสามารถในการจัดเก็บภาษีไม่เอื้อให้ประเทศทำเช่นนั้น
5. ย้อนกลับไปดูบทเรียนยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
เพื่อไทยเคยหาเสียงว่า จะใช้เงินในอากาศ ไม่ต้องกู้ แต่สุดท้ายก็กู้
หาเสียงว่า จำนำข้าวจะไม่ขาดทุน แถมจะมีกำไร แต่สุดท้ายขาดทุนกว่าห้าแสนล้าน กระทั่งปัจจุบัน ยังเหลือภาระหนี้จำนำข้าวติดค้าง ธ.ก.ส.อยู่สองแสนกว่าล้านบาท!!!
มาวันนี้ จะเอาอีกแล้ว
คุยโว แสดงความมั่นใจ ใช้วิธีผลักดันประชาชนที่หวังจะได้รับผลประโยชน์เงินหมื่นมาออกหน้า
ไม่มีการชี้แจงประเด็นคัดค้านของบรรดาผู้มีประสบการณ์ความรู้
แต่กลับตราหน้าว่า ฝ่ายคัดค้านไม่มีเหตุผล!!!
ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล วุฒิภาวะความเป็นผู้นำบกพร่องรุนแรง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี