คนไทยได้ยินเป็นประจำว่า นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน บอกว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยวิกฤตหนัก และบอกย้ำๆ อยู่เสมอว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยวิกฤต วิกฤต วิกฤต
ถามว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีพูดประมาณทำนองว่าต้องการให้เศรษฐกิจไทยวิกฤต เป็นเพราะว่านายกรัฐมนตรีต้องการให้เศรษฐกิจไทยวิกฤต หรือว่าจริงๆ เศรษฐกิจไทยวิกฤตอยู่แล้ว หรือพูดเพื่อต้องการโยนความผิดไปยังรัฐบาลชุดก่อนหน้า ก่อนที่เศรษฐาจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือพูดไปเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการขอออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้านบาท
ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจะพยายามบอกว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤต วิกฤต และวิกฤต โดยย้ำแล้วย้ำอีก แต่ก็มีเสียงบอกชัดๆ มาจากภาคเอกชนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นความจำเป็นต้องกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต แต่เพียงแค่ว่าธุรกิจในบางกลุ่ม บางแขนงมีปัญหา เพราะเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตหรือขยายตัวอย่างทั่วถึงเสมอหน้ากัน ดังจะเห็นว่าบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแต่ประการใด แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะซบเซาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นไทยไม่เคยซบเซาอยู่ในสภาพนี้มาก่อน
แต่ปัญหาหนักหนาสาหัสจริงๆ ประการหนึ่งคือ คนไทยส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการออม แถมยังมีปัญหาหนี้สินท่วมหัว ในขณะเดียวกัน เมื่อดูไปยังรัฐบาลก็มีปัญหาหนี้สินท่วมเช่นกัน แต่ทว่าสถานะการเงินการคลังของประเทศไทยยังถือได้ว่าแข็งแกร่งดี ดังนั้น การที่รัฐบาลเก่าๆ ได้สร้างหนี้ไว้ ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยล้มละลาย เพราะรัฐบาลมีหนี้ก็จริง แต่ก็ยังมีปัญญาชดใช้ชำระหนี้ได้ตามกำหนด ประเทศไทยยังไม่เคยชักดาบ ไม่ชำระหนี้ใคร
ครั้นเมื่อมองไปยังภาคธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็ยังพบว่าไม่ได้มีปัญหาสาหัส แม้อาจจะมีปัญหาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้ เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยไม่ได้วิกฤต ก็จึงเบาใจได้ระดับหนึ่งว่าประเทศไทยไม่ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แถมยิ่งภาคธุรกิจการเงินการธนาคารของไทย ก็มีสถานะแข็งแกร่งมากดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจของไทยไม่ได้วิกฤต เหมือนดังที่นายกรัฐมนตรีต้องการให้เกิดความวิกฤตให้จงได้
คนที่ติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดวิจารณ์ว่าในขณะที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤต แต่กลับไม่พบไม่เห็นว่ารัฐบาลจะสร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านของเราให้มากขึ้น แต่ได้ยินเพียงการคุยโขมงว่าไปเชื้อเชิญบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกให้เข้ามาลงทุน และก็คุยเขื่องว่าได้ไปพบปะกับเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายราย ได้ถ่ายภาพร่วมกัน แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่าสุดท้ายแล้วบริษัทเหล่านั้นจะเข้ามาลงทุนในบ้านเราจริงหรือไม่
คำถามที่นายกรัฐมนตรีต้องตอบสังคมให้ชัดคือ ประเทศไทยมีแรงดึงดูดอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้นักลงทุนระดับโลกเข้ามาลงทุน เรามีแรงงานที่สามารถรองรับการผลิตสินค้า Super Hi-tech ได้จริงหรือ เรามีทรัพยากรสำคัญที่เป็นพื้นฐานในการผลิตให้กับบริษัทระดับโลกจริงหรือ หรือว่าเรามีแค่เพียงการให้สิทธิพิเศษด้านภาษี แล้วก็พยายามกดให้ค่าแรงของเราต่ำให้มากที่สุด ซึ่งต้องบอกว่าในความเป็นจริงนั้น แรงงานส่วนใหญ่ของเราไม่มีศักยภาพเพียงพอกับการผลิตสินค้าจำพวก Super Hi-tech
นอกจากปัญหาเรื่องศักยภาพของแรงงานไทยส่วนใหญ่ แล้ว สังคมไทยยังมีปัญหาเรื่องการออมที่ต่ำมาก หรือเรียกง่ายๆ ตรงๆ คือ คนไทยจำนวนไม่น้อยมีหนี้สินรุงรังท่วมหัวท่วมหู รัฐบาลไม่เคยสนใจเรื่องการสนับสนุนให้คนออมเงิน ทั้งๆ ที่คนไทยเป็นหนี้เกือบทั้งประเทศ สังคมไทยเข้าสู่สภาพสังคมผู้สูงอายุแบบเข้มข้นขึ้นทุกขณะ แค่คนแก่ในสังคมไทยก็ยังยากจน บางรายมีหนี้สินที่ไม่สามารถชำระให้หมดได้ก่อนจะตายไป โดยในความเป็นจริงพบว่าคนงานไทยกว่า 30 ล้านคนไม่มีการออมในรูปแบบกองทุนเลี้ยงชีพ และรัฐบาลก็ไม่เคยคิดจะออกกฎระเบียบเพื่อบังคับให้คนไทยต้องออมเงิน
น่าสมเพชประเทศไทยที่มีรัฐบาลที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหา เศรษฐกิจวิกฤต แต่ไม่มีปัญญาส่งเสริมให้คนไทยมีสถานะการออมที่ดีขึ้น มิหนำซ้ำ รัฐบาลบางรัฐบาลก็ไร้ปัญญา เพราะดันไปตัดแรงจูงใจในการออมของคนไทยทิ้งไป เช่น อยู่ดีๆ ก็ตัด LTF (Long-Term equityFund) หรือกองทุนรวมเน้นการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นทิ้งไป ทั้งๆ ที่กองทุนนี้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุนไทย การตัดสินใจของรัฐบาลไทยนับว่าประหลาดมาก ซึ่งต่างกับประเทศอื่นๆ ที่รัฐบาลสนับสนุนให้คนลงทุนในตลาดทุนให้มากขึ้น และผลักดันให้เกิดการออมให้มากขึ้นแต่รัฐบาลไทยดันเน้นการกู้เพื่อเพิ่มหนี้สินให้กับคนไทย โดยไม่เคยสำเหนียกว่าการก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ คือการลากคนไทยทั้งประเทศไปลงอเวจี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี