แม้ว่าจะให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ ทำโพลล์ออกมาว่าประชาชนยังพอใจรัฐบาลอยู่มาก แต่จะกล้ายอมรับความจริงหรือไม่ว่า เสียงประชาชนคนทำมาหากิน ที่ไม่ใช่หัวคะแนน หรือ พวก“ติ่ง” พวก “ด้อม” ล้วนแล้วแต่บอกว่า ไม่ไหวแล้ว คนทำมาค้าขาย จะตายอยู่แล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แวว แนวทางฟื้นเศรษฐกิจให้ชาวบ้าน มีกิน มีใช้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไปพร้อมๆ กัน อย่างที่หาเสียงเอาไว้
ล่าสุดประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงหลังการประชุมว่า โครงการเงินแจกเงินหมื่นเฟส 3 ที่จะให้คนอายุ 16-20 ปี ทั้งหมด 2.7 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท ยังไม่บรรจุเข้าวาระ
อธิบายถึงสาเหตุที่ยังไม่นำเรื่องนี้เข้ามาพิจารณา ว่าอยู่ในส่วนของการรวบรวมความคิดเห็น เพราะมีเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทางสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเห็นเข้ามาก็ต้องรับฟังอยู่แล้ว
และยังยืนยันว่า ยังไม่ได้มีมติยกเลิกโครงการนี้ เพียงแต่ต้องรับฟังความเห็น ซึ่งต้องรับฟังให้ครบถ้วนก่อนว่า มีความจำเป็นมากแค่ไหนในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินก้อนนี้สามารถทำอะไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดของคนทั้งประเทศ
การอธิบายดังกล่าว ทำให้คนที่ติดตามข่าวสารของโครงการนี้มาตลอด ต่างก็พากันงุนงงไม่น้อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ ทั้งที่โครงการนี้เป็นนโยบายเรือธง ที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเอาไว้อย่างแข็งขัน ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หรือจะถอยเลิกล้มเสียแล้ว
และก็เป็นนโยบายนี้เช่นกัน ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และการคัดค้านอย่างกว้างขวางจากผู้ที่ห่วงใย ว่าการใช้นโยบายแจกเงินแบบหว่านไปทั่ว และใช้งบประมาณมหาศาลเช่นนี้ จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยาว
เสียงคัดค้านดังกล่าว มีตั้งแต่คณาจารย์นักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานรัฐ และองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ป.ป.ช. สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
แต่ไม่ว่า จะมีคนเตือนมากขนาดไหน ด้วยเหตุผลและข้อมูลที่หนักแน่นเพียงใด รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ก็มิได้นำพา กลับเดินหน้าลุยไฟผลักดันโครงการนี้อย่างเต็มที่
ซึ่งบทพิสูจน์ก็ออกมาแล้วว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่คุยโวไว้ตอนหาเสียง
โดยธนาคารโลก ได้เคยออกรายงานติดตามเศรษฐกิจไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ระบุว่า โครงการแจกเงินหมื่น เฟส 1 ที่ใช้เงินไป 145,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 8% ของ GDP ของไทย แต่กลับกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.3% เท่านั้น
ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรี ออกมาอธิบายอย่างไรก็ตาม ถึงเหตุผลของการไม่นำโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 เข้าครม. โดยอ้างว่าต้องฟังความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ อย่าง
รอบด้านนั้น
ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า โครงการนี้น่าจะไปต่อลำบาก และย่อมทำให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลชุดนี้ “หมดน้ำยา” และสิ้นหนทางในการกอบกู้เศรษฐกิจชัดเจนแล้ว เพราะเครื่องมือเดียวที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยหวังว่าจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เกิดพายุหมุนหลายๆ รอบ ได้ถูกโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่เพียงว่าจะกล้ารับความจริงหรือไม่ ว่า “ไร้ฝีมือ” แล้ว “โยนผ้ายอมแพ้” เดินลงจากเวทีไปเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี