กำลังจะครบ 120 วัน ที่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เสวยวิมาน อยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ท่ามกลาง “ความลับ” สารพัด ที่สังคมไทยไม่มีสิทธิล่วงรู้ เช่น... อยู่ชั้น 14 จริงไหม หรืออยู่ที่อื่น, ป่วยจริงไหม ป่วยด้วยโรคใด อาการหนักถึงขั้นเกินศักยภาพการดูแลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์เลยเชียวหรือ

ทั้งยังมีระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ ออกตามพระราชบัญญัติที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาหลายปีแล้วให้สามารถจำคุกนักโทษนอกเรือนจำได้ ว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่น.ช.ทักษิณ หรือไม่ รองรับการย้ายนักโทษชายผู้นี้ จากโรงพยาบาลตำรวจ ไปสู่การ “จำคุกที่บ้าน” หรือเปล่า?

ถามโรงพยาบาล โรงพยาบาลตอบไม่ได้ เป็นสิทธิคนไข้, ถามราชทัณฑ์ ถามปลัดกระทรวงยุติธรรม, ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ถามนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดเอาแต่โยนให้ไปถามอีกคน อีกฝ่าย อีกหน่วยงาน หรือไม่ก็เลือกที่จะเงียบ หรือเดินหนีนักข่าว

1) ดร.เสรี วงษ์มณฑา คงจะเหลืออด จึงโพสต์เฟซบุ๊กกล่าวว่า

“โยนกันไปโยนกันมา ไม่มีใครรับผิดชอบ คงรู้สินะว่ามันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงไม่ต้องการเป็นผู้รับผิดชอบ แบบนี้ความน่าเชื่อถือของพวกคุณไม่เหลือแล้ว

พวกคุณพูดอะไร ก็ไม่มีใครเขาเชื่อคุณแล้ว ประชาชนเขามีตรรกะธรรมชาติอยู่ในตัว เขาพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่เชื่อคุณหรอก

โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่ได้กระจอกขนาดที่จะดูแลนักโทษเด็ดขาดชายที่มี 4 โรคที่ประกาศออกมาในวันแรกที่นักโทษมาถึงประเทศไทย

ถ้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้จริงๆโรงพยาบาลตำรวจทำไมต้องใช้เวลารักษานานขนาดนั้น รักษากันนานขนาดนี้ คุณแย่ขนาดไหน

ลูกสาวบอกว่า พ่ออยู่ในช่วงพักฟื้น ถ้าเป็นการพักฟื้นไม่ใช่การรักษา ทำไมไม่ให้ไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทำไมจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลตำรวจ

พวกคุณล้มละลายด้านความน่าเชื่อถือแล้วค่ะ”

2) นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องกับคณะกรรมาธิการตำรวจ ขอให้ตรวจสอบการควบคุมนักโทษที่เข้ารับการรักษาพยาบาลและพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยกล่าวว่าอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่ ขอให้ส่งรายชื่อผู้คุมที่ไปควบคุมตัวนายทักษิณให้แก่คณะกรรมาธิการ และอยากถามว่าระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาให้จำคุกนอกเรือนจำ ใหญ่กว่าคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และใหญ่กว่าพระบรมราชโองการอภัยโทษหรือไม่

“ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ทางคณะกมธ.เป็นหูเป็นตาให้ประชาชน โดยเดินทางไปที่ชั้น14 ห้องพิเศษ รพ.ตำรวจ ไปพิสูจน์ทราบว่ามีนายทักษิณ แพทย์ ผู้คุมและตำรวจ อยู่ที่นั่นหรือไม่ หากคณะกมธ.ตำรวจไปดำเนินการอาจถูกกล่าวหาว่าผิดกฎหมายอาญา ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์ตนกับนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ จะไปยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อสอบถามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ล่าสุดว่า ส่อช่วยนายทักษิณไม่ต้องจำคุกในเรือนจำหรือไม่ และอยากถามว่าหากนายทักษิณได้รับการยกเว้น แล้วนักการเมืองรวมถึงบุคคลธรรมดา หากต้องจำคุก จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนายทักษิณหรือไม่”

3) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า อยากทราบขั้นตอนการรับโทษเป็นอย่างไร เหตุใดนายทักษิณถึงไม่ต้องตัดผมเหมือนนักโทษรายอื่นๆ แม้แต่วันเดียว ในช่วงโควิดต้องกักตัว 10 วันภายในเรือนจำ แต่นายทักษิณไม่มีการกักตัว แต่กลับส่งตัวไปยังรพ.เลย และอยากทราบว่า เหตุใดถึงส่งตัวไปที่รพ.ตำรวจ นายทักษิณทำดีก็เยอะ มีข้อครหาก็เยอะ แต่จะเป็นนักโทษเทวดาคนเดียวไม่ได้ เพราะถ้านายวัชระต้องเข้าคุกบ้าง จะโดนปฏิบัติแบบนี้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้แน่นอน เพราะไม่ใช่ชินวัตร

4) พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวถึง อาการของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจใกล้ครบ 120 วัน ว่า ในส่วนของอาการคนไข้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถเปิดเผยหรือให้ข้อมูลกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติ คนในครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้

ส่วนกรณีกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) บุกยื่นหนังสือถึงแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เรียกร้องให้รักษาจรรยาบรรณแพทย์ และความยุติธรรมโดยการทำความเห็นอย่างตรงไปมากับทางราชทัณฑ์ เรื่องอาการป่วยนายทักษิณ หลังบุตรสาวของ น.ช.ทักษิณ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น.ช.ทักษิณ อยู่ในช่วงพักฟื้นตัวเท่านั้น และกลุ่ม คปท.เห็นว่า แพทย์ควรทำความเห็นและส่งตัว น.ช.ทักษิณ ไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะมีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือครบนั้น ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานมายื่นหนังสือซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ ก็รับไว้และทำรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน แต่การให้ข้อมูลคนไข้ ย้ำว่าไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนคนไข้หรือญาติจะมอบหมายใครให้ข้อมูลก็เป็นสิทธิ

พร้อมยืนยันว่า คนไข้ที่ทางราชทัณฑ์ส่งมาโรงพยาบาลตำรวจ มีระบบรักษาตามมาตรฐานอยู่แล้ว ในการดูแลผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม ส่วนการทำความเห็นเรื่องอาการคนไข้ให้ราชทัณฑ์ก็มีช่วงระยะเวลาอยู่ และจะมีเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์มาคอยดูแลที่โรงพยาบาล โดยทั่วไปหากคนไข้หายดีหรือสามารถกลับไปเรือนจำได้ ทางแพทย์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ใช่แค่กรณีใดกรณีหนึ่ง

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ยังกล่าวถึงกรณี กรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม และการตำรวจ จะไปตรวจสอบที่ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ ๘๘ พรรษา สถานที่รักษาตัวของ น.ช.ทักษิณ ว่า หากมีการแจ้งมาทางโรงพยาบาลตำรวจก็จะต้องประสานไปยังกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นเรื่องเพื่อให้พิจารณาและดำเนินการตามระเบียบ ส่วนจะอนุญาตหรือไม่ยังไม่สามารถตอบได้

5) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart หัวข้อ “รัฐล้มเหลว” ว่า...

ไทยได้กลายเป็นรัฐล้มเหลว หมดความน่าเชื่อถือในความเสมอภาค กระบวนการยุติธรรมหมดสภาพ มีอภิสิทธิ์ชนภายใต้การรู้เห็นของรัฐ อ้างเหตุป่วยหนัก รักษาไม่หายใกล้ตายนอนโรงพยาบาลเป็นเดือนๆ

น่าสงสารข้าราชการที่ออกมาแถลงแก้ตัวให้นักโทษหนีคุก ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า ไม่ได้พูดความจริง ข้อความที่แถลงไม่มีใครเชื่อ ไม่อายบ้างหรือ ยุบเถอะ ปล่อยนักโทษให้หมดคุก ไม่ต้องติดคุกกันแล้ว มีแต่คนจนติดคุก

นักการเมืองออกกฎหมาย ระเบียบยกเว้นโทษ ให้นักการเมืองเป็นอภิสิทธิ์ ทำอะไรก็ไม่ผิด คุกก็ไม่ต้องติดขอให้ข้าราชการมีสำนึกต้องรับใช้ใคร อยากเป็นขี้ข้านักการเมือง หรือเป็นข้ารับใช้เบื้องยุคลบาทของในหลวง ข้าราชการที่รับใช้ตามตูดนักการเมือง มอบกายถวายชีวิตให้ฝ่ายการเมือง

เพื่อนๆ รู้กันดีว่าใครเติบโตโดยรับใช้การเมือง ไม่มีความละอายแก่ใจ ขอให้นึกถึงวันที่อำนาจเปลี่ยนมือคนที่รับใช้นักการเมืองจะเห็นโลงศพ จะร้องไห้จนเป็นสายเลือดก็ไม่มีใครสน

6) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Pichit Chaimongkol ระบุว่า... “ยิ่งกว่าพ.ร.บ.สุดซอย” ความว่า

“เป็นไปได้มากที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้เข้าเรือนจำแม้แต่วันเดียว กระบวนการอุ้มหนีเรือนจำด้วยระเบียบราชทัณฑ์ กำลังทำงานตามเงื่อนเวลาที่ลงตัว

อดีต ทักษิณ หนีคดีไปต่างประเทศ ปัจจุบัน ทักษิณก็หนีคดีอยู่เช่นเดิม หนีด้วยกระบวนการราชการที่เอาระเบียบเป็นเกราะกำบัง เช่นนี้ มันเลวร้ายกว่า พ.ร.บ.
สุดซอย ในอดีต เพราะครั้งนี้ นช.ทักษิณ ได้ประโยชน์คนเดียว

ความปรองดอง จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อปรองดองที่ยอมกับคนทุจริตแบบไม่มีทางเลือกให้ประชาชนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง เราว่า พ.ร.บ.สุดซอย ว่าเอื้อประโยชน์ ระเบียบอุ้มทักษิณ โคตรเอื้อไม่ให้ทักษิณติดคุกมากกว่า นี่คือ การฟอกขาวให้ทักษิณชัดๆ”

7) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตนักโทษ เขียน “จดหมายเปิดผนึก จาก น.ช.เทพไท ถึง น.ช.ทักษิณ” ความว่า

เรียน คุณทักษิณ ที่เคารพ

ผมเทพไท ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาด ที่เคยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผมเป็นนักโทษธรรมดา ต้องอยู่ในเรือนจำจนครบกำหนดโทษที่ได้รับ และได้รับการพักโทษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งนักโทษทั่วไป สามารถใช้สิทธิได้ทุกคน อย่างเท่าเทียมกัน

แต่ท่าน คือ นักโทษเทวดาต้องพักอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยข้ออ้างเรื่องการเจ็บป่วย และไม่มีแนวโน้มว่าจะหายขาด และจะได้กลับมาถูกคุมขังในเรือนจำ เหมือนกับนักโทษทั่วไปเลย

ผมเองตอนอยู่ในเรือนจำ มีอาการป่วยเช่นเดียวกันได้ขออนุญาตเบิกตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครศรีธรรมราช แต่ได้รักษาตัวได้เพียง 5 วัน ผู้บริหารจากกรมราชทัณฑ์กดดันให้ผู้บัญชาการเรือนจำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำตัวกลับเข้าสู่เรือนจำในทันที ซึ่งแตกต่างกับตัวท่านมาก ที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจอย่างไม่มีกำหนด นับว่าเป็นความเหลื่อมล้ำในการปฏิบัติต่อนักโทษทั่วไป การที่ท่านพักอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนบัดนี้ยังไม่มีใครรู้ความจริงว่า ท่านป่วยจริงหรือไม่ แต่ท่านคงจะรู้แก่ใจว่า ท่านพักอยู่ที่นั่น ด้วยเหตุผลใด

อยากให้ท่านตระหนักถึง หัวอกคนเป็นนักโทษด้วยกัน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศว่าเขารู้สึกอย่างไร ในฐานะที่ผมกับท่านเป็นนักโทษเหมือนกัน หัวอกอันเดียวกัน อยากให้ท่านเสียสละ เห็นแก่กระบวนการยุติธรรมของประเทศ ไม่ให้บิดเบี้ยว และไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เกิดความลำบากใจ ท่านควรกลับมาถูกคุมขังในเรือนจำ ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์เป็นดีที่สุดไม่ต้องรอระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับท่านโดยตรงอีกเลย ซึ่งสิทธิอันนั้นท่านจะได้รับอย่างแน่นอน

แม้ว่าท่านสามารถจะใช้สิทธิ์ ถูกคุมขังที่บ้านแทนเรือนจำได้ ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ก็ตาม
แต่ไม่สง่างามสำหรับลูกผู้ชาย ควรตรงไปตรงมา และรักษากระบวนการยุติธรรมของประเทศมากกว่าประโยชน์ของตัวเอง

ผมหวังว่าจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ คงไปถึงคุณทักษิณ เพื่อจะได้ฉุกคิด ไตร่ตรองกับข้อเสนอแนะของผมบ้าง ในฐานะที่เป็นนักโทษด้วยกัน เป็นนักการเมืองด้วยกันมาก่อน “กลับเรือนจำเถอะครับ”

ความยุติธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา / เทพไท เสนพงศ์ 14 ธันวาคม 2566

สรุป : คำที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน ควรนำไปคิด สำนึก และละอายแก่ใจ ว่า พวกคุณกำลังร่วมมือกัน “ทำลายประเทศ” ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม คือ 1.ลูกสาวบอกว่า พ่ออยู่ในช่วงพักฟื้น ถ้าเป็นการพักฟื้น ไม่ใช่การรักษา ทำไมไม่ให้ไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทำไมจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลตำรวจ (ดร.เสรี วงษ์มณฑา) 2.หากนายทักษิณได้รับการยกเว้นแล้วนักการเมืองรวมถึงบุคคลธรรมดา หากต้องจำคุกจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนายทักษิณหรือไม่(วัชระ เพชรทอง) 3.นายทักษิณทำดีก็เยอะ มีข้อครหาก็เยอะ แต่จะเป็นนักโทษเทวดาคนเดียวไม่ได้ (ชัยชนะ เดชเดโช) 4.ไทยได้กลายเป็นรัฐล้มเหลว หมดความน่าเชื่อถือในความเสมอภาค กระบวนการยุติธรรมหมดสภาพมีอภิสิทธิ์ชนภายใต้การรู้เห็นของรัฐ (นันทิวัฒน์ สามารถ) 5.ปัจจุบัน ทักษิณก็หนีคดีอยู่เช่นเดิม หนีด้วยกระบวนการราชการที่เอาระเบียบเป็นเกราะกำบัง(พิชิต ไชยมงคล) 6.อยากให้ท่านเสียสละ เห็นแก่กระบวนการยุติธรรมของประเทศ ไม่ให้บิดเบี้ยว และไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเกิดความลำบากใจ (เทพไท เสนพงศ์)

“กระบวนการยุติธรรม ยุติธรรมจริงหรือ” “ยุติธรรมกับทุกคนอย่างเสมอภาคกันใช่ไหม” “การเอากลไกของรัฐไปโอบอุ้มคนคนเดียว คือความรุ่งเรืองหรือความฉิบหายของประเทศ”

ใครจะคิดเรื่องนี้ หน้าบางลง ละอายแก่ใจ และออกมา“ทำให้ถูกต้อง” เป็นคนแรก ทำเถอะครับ

และอย่าให้คนไทยต้องเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมา รับคำพิพากษาของศาล และได้รับสิทธิ “จำคุกที่บ้าน” อีกคนเลย!!