สืบเนื่องจากการที่ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตั้ง นางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสา ศูนย์บริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีความไม่เหมาะสมเรื่องของข้อมูล และความน่าเชื่อถือ โดยนายภูมิธรรมกล่าวว่า นางสาวปนัดดาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และมีความสนใจในเรื่องบ้านเมือง ซึ่งข้อมูลด้านการทหาร อาจจะรู้ไม่เยอะเท่ากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่มีความตั้งใจ อีกทั้งการเข้ามารับตำแหน่งก็เป็นการเสนอจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งตนคิดว่า เรื่องของการได้ข้อมูล เมื่อทางทหารสนับสนุนก็จะสามารถทำงานได้ดี
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นผู้หญิง เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนว่าใช้โฆษกทหารที่เป็นผู้ชายไปโต้แย้ง เราอาจจะเสียเปรียบกว่า ซึ่งเห็นว่านางสาวปนัดดามีความเหมาะสมอยู่แล้ว ส่วนเรื่องข้อมูลก็ให้ประสานกับกองทัพอย่างเต็มที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตรงนี้ตนคิดว่าสมน้ำสมเนื้อ
เมื่อถามย้ำว่า ข้อมูลที่นางสาวปนัดดาจะพูดออกมา เป็นการกลั่นกรองมาจากทางกองทัพใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ประมาณนั้น และที่ผ่านมา ก็มีการประสานและนำข้อมูลไปช่วยเหลืออยู่แล้ว
ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องนี้ ขอตกลงกันเป็นการเบื้องต้นก่อนว่า ต่อไปนี้ จะเรียกนางสาวปนัดดาว่า “ดร.บุ๋ม” และเรียกโฆษกกลาโหมกัมพูชาว่า “อีมาลี”
ทีนี้ เรามาวิเคราะห์กันครับ
1) ผมคิดว่า “สติปัญญา” ของนายภูมิธรรม “มีปัญหา” ดูจากการให้เหตุให้ผล ผมว่า “วิธีคิด” ของเขาบกพร่อง เลอะเลือน ตื้นเขิน และไม่รอบด้านพอ
2) ประเด็นแรก เรื่อง “พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นผู้หญิง เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนว่าใช้โฆษกทหารที่เป็นผู้ชายไปโต้แย้ง เราอาจจะเสียเปรียบกว่า” อันนี้ ใช้อะไรคิดครับ
บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่า ประเทศชาติใดก็ตาม ที่มีนักการเมืองซึ่งเป็นทั้ง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรีของประเทศ แล้ว เขามี “วิสัยทัศน์” แค่นี้ ประเทศนั้นเตรียม “ฉิบหาย” ได้เลยครับ
3) สิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันนี้ คือเรื่อง การตอบโต้กันทางข่าวสารและความจริง ระหว่าง “ราชอาณาจักรไทย” กับ “ราชอาณาจักรกัมพูชา” ไม่ใช่ให้ ดร.บุ๋มกับอีมาลีมาตบกัน มาชกกัน มาวิ่งแข่งกัน หรืออะไรก็ตามที่ต้องเป็นเรื่องของ “เพศ” แต่นี่เป็นเรื่องของ งาน “โฆษก” นายภูมิธรรมเข้าใจในประเด็นนี้ไหม
4) น้ำหนักของ “โฆษก” มีอะไรบ้าง
อย่างแรก มี “ความเป็นทางการ” (official) รองรับ
อย่างที่สอง มี “ความจริง” (fact) ที่เชื่อถือได้
จะแหลมคมยิ่งขึ้นถ้ามีความรู้เรื่องข้อกฎหมายรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพิชัยสงคราม
5) อีมาลี มีตำแหน่ง โฆษกกลาโหมกัมพูชา แต่ปัญหาของอีมาลีคือ “โกหก บิดเบือน ตอแหล” มัดรวมอยู่ในคำคำเดียวว่า “กล่าวความเท็จ” พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นโฆษกที่กล่าวความเท็จ ดังนั้น หน้าที่ของโฆษกที่จะกล่าวอย่างเป็นทางการในนาม “ราชอาณาจักรไทย” คือ ตอบโต้ “ความเท็จ” โดยไม่ต้องสนใจว่า ผู้ที่กล่าวความเท็จนั้น เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นคนหรือสัตว์ หากเป็นสัตว์ เป็นสัตว์ตัวผู้หรือสัตว์ตัวเมีย การที่นายภูมิธรรมกล่าวว่า “พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นผู้หญิง เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนว่าใช้โฆษกทหารที่เป็นผู้ชายไปโต้แย้ง เราอาจจะเสียเปรียบกว่า” จึงเป็นวิธีคิดที่เลอะเทอะและน่าสิ้นหวัง หากคนไทยทั้งมวลต้องฝากความหวังในการบริหารประเทศไว้กับคนคนนี้
6) สิ่งที่จะต้องถามต่อไปก็คือ “อีมาลีสำคัญขนาดที่ราชอาณาจักรไทยต้องตั้งโฆษกเฉพาะกิจคนหนึ่งขึ้นมาเพื่อตอบโต้มันคนเดียวเลยจริงๆ หรือ” นี่ประเทศของกูเป็นอะไรไปแล้ววะ?
ราชอาณาจักรไทย ที่มีทั้ง :-
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โฆษกรัฐบาล
โฆษกกระทรวงกลาโหม
โฆษกกองทัพบก โฆษกกองทัพเรือ โฆษกกองทัพอากาศ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เรื่อยไปจนถึงโฆษกงานวัด
คนคนหนึ่งซึ่งเป็นถึง... อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรีของประเทศ ไม่มีสติปัญญาพอที่จะอ่านขาดและบัญชาการรบใน “สมรภูมิข่าวสาร” ให้มันฉลาดหลักแหลมกว่านี้จริงๆ หรือ (วะ)
7) ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา มี 3 สมรภูมิรบ คือ สมรภูมิทางอาวุธและกำลังทหาร, สมรภูมิข่าวสาร และสมรภูมิกฎหมาย ทั้งสามสมรภูมินี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย นำพาประเทศไทยไปสู่ “ความกระจอก” และ โง่เขลา เกือบทั้งหมด
8) สมรภูมิทางอาวุธและกำลังทหาร ตกเป็นเบี้ยล่างของการเจรจาหยุดยิงที่ไม่กำหนดเงื่อนไขให้ฝ่ายกัมพูชารับผิดในบางเรื่องเสียก่อน, สมรภูมิข่าวสารที่ขาดการบัญชาการอย่างกล้าหาญและหลักแหลม กับสมรภูมิทางกฎหมายที่ยังงงจนถึงทุกวันนี้ ว่า จะลากคอพ่อลูกตระกูลฮุน คือ ฮุนเซน กับ ฮุน มาเนต ขึ้นศาลไหน ในฐานะอาชญากรสงครามที่กระทำการละเมิดกฎหมาย หลักมนุษยธรรม และข้อตกลงระหว่างประเทศมากมาย ทั้งการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การใช้อาวุธสงครามโจมตีโรงพยาบาล หมู่บ้าน สถานีบริการน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ซึ่งเป็น “เป้าหมายพลเรือน”
9) โชคดีที่ทางกองทัพเข้มแข็ง ทำให้สมรภูมิอาวุธและกำลังพล ราชอาณาจักรไทยไม่เสียเปรียบมากนัก แต่สมรภูมิข่าวสารนี่สิ ปัญหาเดียวที่ฝ่ายตรงข้าม คือ ราชอาณาจักรกัมพูชาใช้ คือ ความหน้าด้าน การบิดเบือน และกล่าวความเท็จ ทั้งจากปากของฮุนเซน-ฮุน มาเนต จากโซเชียลมีเดียของพวกเขา และจาก “โฆษกกลาโหมกัมพูชา” คือ “อีมาลี”
10) เมื่อ “อาวุธ” ที่กัมพูชาใช้ในสมรภูมิข่าวสาร คือ ความหน้าด้านและความเท็จ อาวุธที่ฝ่ายไทยควรใช้ คือ “ความจริง” และความกล้าหาญ ไม่ใช่ใช้ผู้หญิงหรือผู้ชาย สวย/หล่อ หรือขี้เหร่อัปลักษณ์ เป็นที่รู้จักหรือไม่มีใครรู้จักเลย เพราะ “ตำแหน่งที่เป็นทางการ” คือ “น้ำหนักของการให้ข่าว” หรือการแถลง การโพสต์ และการพูด
11) ก่อนอื่นเห็น “สนามรบ” ชัดเจนหรือยัง เช่น ในประเทศ คุณควรสื่อสารอะไร อย่างไร ถึงใคร เพื่อหวังผลอะไร มันคือการ “รู้เป้า” เพื่อจะเล็งเป้า โดยเลือกปืนและกระสุนที่เหมาะสม เพื่อพิชิต “เป้าหมาย” ให้สำเร็จลุล่วงและเป็นที่ยุติ
12) ส่วนสนามรบในบ้านศัตรู คือ ในหมู่ประชาชนชาวกัมพูชา คุณอยากให้เขารู้อะไร เพื่ออะไรเสร็จแล้วก็มาสำรวจช่องทางในการสื่อสาร เลือกภาษาที่จะสื่อสาร และเลือก “ตัวคน” ที่จะสื่อสารในท้ายที่สุด
13) กับสื่อต่างประเทศล่ะ จะสื่อสารไหม สื่อสารอย่างไร โดยใคร ยังไม่รวมถึงกับสถานทูต เอกอัครราชทูต ทูตทหาร ทูตการค้า ฯลฯ
14) มาถึงจุดนี้ เห็นหรือยังว่า “อีมาลี” ก็แค่ขี้หมากองหนึ่งในสมรภูมิข่าวสาร ดังนั้น การตั้ง ดร.บุ๋มขึ้นมาเป็น “โฆษกจิตอาสา” ของ ศบ.ทก. จึงไม่ควรสื่อสารกับสังคมไทย สังคมกัมพูชา และสังคมโลกว่า ตั้งมาเพื่อฟัดกับ “อีมาลี” เพราะมันทำให้เรื่องนี้ มีสภาพเป็นผู้หญิงสองคนนัดตบกันหน้าห้องน้ำ
15) การตั้ง ดร.บุ๋ม ขึ้นมานั้น ไม่มีอะไรเสียหายหรอก เพราะเธอเป็นคนที่รักชาติ รักความถูกต้อง เสียสละ กล้าหาญ ตรงไปตรงมา กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ตำแหน่ง “โฆษกจิตอาสา” นี่ คือตำแหน่งอะไร เมื่อเครดิตนี้ ไปห้อยอยู่ท้ายชื่อของ ดร.บุ๋มในสนามข่าว โดยเฉพาะในข่าวต่างประเทศ สังคมโลกจะให้น้ำหนักกับตำแหน่งนี้เพียงใด ยิ่งไปสร้างเงื่อนไขตั้งแต่ต้นว่ามีไว้ตอบโต้กับ “โฆษกกลาโหมกัมพูชา” น้ำหนักของความเป็นทางการ ในนามของประเทศ มันได้ไหมล่ะ?
17) ถ้ากัมพูชาให้ข่าวโดยใช้ปากของ “โฆษกกลาโหม” ประเทศไทยก็ต้องโต้กลับหรือหักล้างด้วยปากที่มีน้ำหนักอย่างเป็นทางการเท่ากัน คือปากของ “โฆษกกลาโหมไทย” หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นอาวุธที่หนักกว่า แต่ประเทศนี้ก็เสือกไม่มีรัฐมนตรีกลาโหมอีก
18) เขาใช้โฆษกกองทัพ เราก็ต้องแถลงด้วยโฆษกกองทัพ เขาใช้โฆษกรัฐบาล เราก็ต้องใช้โฆษกรัฐบาล เขาใช้ปากนายกฯ เราก็ต้องโต้และหักล้างด้วยนายกฯ ประเทศนี้ก็เสือกไม่มีนายกฯ เสียอีก มีแต่นายกฯ พักงาน กับผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ซึ่งนายกฯพักงานนั้น ถูกพักงานก็เพราะคุยโทรศัพท์อ่อนข้อฉอเลาะกับผู้นำของกัมพูชา นำพาประเทศไปสู่ความเสียเปรียบ เพียงเพราะ “รู้จักการในฐานะลุง-หลาน” แถมถูกตั้งข้อสงสัยว่า ตระกูลของทั้งสองคนที่คุยกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน มีบุญคุณติดค้างกันเป็นการส่วนตัว แต่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้
คุยเรื่องส่วนตัว แต่คุยเรื่องประเทศ เธอจึงควรมีสติที่จะคุยในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ ไม่ใช่ “น้องอุ๊งอิ๊งค์” หลานลุงฮุนเซนไงคะ ส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ก็ถูกมองว่า เป็นขี้ข้าและบริวารของนายกฯ กับพ่อนายกฯ อีกทีหนึ่ง ซึ่งทั้งนายกฯ และพ่อนายกฯ ต่างมีท่าทียอมแพ้ อ่อนข้อ เหมือนติดค้างหรือมีชนักปักหลังอะไรอยู่ จนไม่นำชาติ นำประชาชน ไปเผชิญกับสถานการณ์นี้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และกล้าหาญ
19) พอถูกถามเรื่อง ดร.บุ๋ม กับ อีมาลี นายภูมิธรรมจึงตอบออกมาเช่นนี้ เพราะรากลึกของหัวใจไม่ได้มุ่งมั่นที่จะสู้ จึงไม่วางเกมสู้ ออกแบบการสู้มาให้รอบคอบ รัดกุม และชาญฉลาด เหมือนใช้สุนัขนำกองทัพราชสีห์ ส่งผลให้ราชสีห์วิธีการรบแบบสุนัขไปด้วย
สรุป :
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลือกผู้หญิงไปประชันฝีปากกับผู้หญิง เรื่องนี้เป็นเรื่องเอาความจริงไปหักล้างความเท็จ เมื่อโฆษกกัมพูชาพูดเท็จ ฝ่ายไทยต้องเอาทั้งพยานหลักฐานและความจริงฟาดกลับไปทั้งด้วยภาษาไทย (เพื่อสื่อสารกับคนไทยและคนกัมพูชาที่รู้ภาษไทย) ภาษากัมพูชา (เพื่อให้คนกัมพูชาได้รู้ความจริง ไม่ตกเป็นเหยื่อของการบิดเบือน หลอกลวง ตบตา ปิดกั้นการรับรู้โดยรัฐบาลของเขา) ภาษาต่างประเทศ เพื่อให้โลกรับรู้ถึงความชั่วช้าและไร้มนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชาและปฏิบัติการของเขา
เรามีกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีข้าราชการ มีทูตที่พูดได้ทุกภาษาหลักของโลก นั่งอมพะนำกันอยู่ทำไม รัฐบาลไม่บัญชาการ ไม่ทุ่มเทงบประมาณ ไม่สนับสนุนกำลังคนในการ “รบด้วยข้อมูลความจริง” เลย
รบเหมือนไม่รบ
รบเหมือนเกรงใจกัมพูชาในทุกสนาม
มีอีกกี่ล้าน ดร.บุ๋ม ประเทศนี้ก็แพ้ เพราะผู้นำมันไม่จริงใจในการรบ ยิ่งรบก็ยิ่งเปลืองกำลังพล !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี